หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 46 ประจำวันที่ 2006-11-13

ข่าวการศึกษา

ศธ.เร่งหาข้อสรุปโละโควตา 'เด็กเส้น'
สัปดาห์นี้ประกาศรับม.1ได้เหลือแค่ข้อยุติสัดส่วนร้อยละ10
สมศ.ปลื้มอังกฤษสนประเมินร.ร. หวังกระตุ้นมาตรฐานหน่วยงานไทย
อธิการฯมศว.แนะ ศธ.เชิญชุมชนร่วมร่างหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง
โยนมั่ววัดผลการศึกษา เด็กไม่สนใจสอบ-งบมาไม่ทัน
รวมกองทุนเรียนเน้นเด็กได้ประโยชน์ “เปรมประชา”
การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ชี้แอดมิชชั่นไม่ได้ลดเครียด

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

ตู้ปลาไฮเทค
สู่เส้นทางฝัน “รถอัจฉริยะไร้คนขับ” ต้นแบบคันแรกของไทยอีก 3 ปี
ตั้งเป้า 1 ปี "พ.ร.บ.พื้นฐานความรู้ความรู้วิทย์" เป็นรูปธรรม
ทีเอ็มซีเปิดติว “อะลูมิเนียมอัลลอยด์สมัยใหม่” เริ่มเรียนปลายเดือนนี้
หอดูดาวสิรินธร มช.เปิดให้ชมฝนดาวตก "ลีโอนิดส์" 18 พ.ย.
“ไบโอดีเซล” พลังขับเคลื่อน “เกษตรไร้พิษ” ชุมชน “วังน้ำเขียว”
แค่ “เลือกกิน” ก็ลดวิกฤติ “โลกร้อน” ได้
นาซาเนรมิตดาวอังคารให้เหมือนโลก ปล่อยบอลลูนกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ให้อบอุ่น

ข่าววิจัย/พัฒนา

โปรแกรม "กูเกิล" เป็นผู้ช่วยแพทย์ ค้นเจออาการ ของโรคหายาก
ฟีโบ้พัฒนาหุ่นยนต์กลิ้งกระโดดศึกษาการเคลื่อนที่รูปแบบใหม่หลบหลีกอุปสรรค
อุปกรณ์วัดคุณภาพแก๊สโซฮอล์ ฝีมือไทย-มาตรฐานสา
กินถั่วเหลืองกับปลาไว้เป็นประจำ เป็นโล่ป้องกันมะ เร็งทรวงอกได้
เตรียม “ไฮโดรเจน” รับ “เซลล์เชื้อเพลิง” ด้วย “ตัวเร่งนาโน”
นักกฎหมายแม่โดมแนะชุมชนผลิตพลังงานใช้เองยี้ทุนการเมืองผูกขาด
งานวิจัยใหม่ให้ความหวังระบุป่าไม้โลกกำลังเพิ่มขึ้น
ประดิษฐ์กระเพาะเทียมดูการทำงาน ใช้ออกแบบเมนูสุขภาพรักษาเบาหวาน
ช็อกโกแลตดำลดความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน

ข่าวทั่วไป

หนุนดึงเงินหวยเข้ารัฐ แก้ทัศนคติเงินพนัน
ดื่มบัวหิมะช่วยหนูน้อยไม่แพ้อาหาร
ออกเกณฑ์ใหม่ช่วยครูร.ร.เอกชน
อุณหภูมิความร้อนของโลกสูงขึ้น โลกยิ่งพลอยเป็นโรคกันหนักขึ้น
ส่งยานตามล่าดาวเคราะห์แบบโลก เป็นหินและมีขนาดโตใหญ่รุ่นน้อง
ไทยไม่พร้อมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม
"ลุงแอ้ด" เยี่ยมค่ายวิทย์ "สานใจไทยสู่ใจใต้" ดีใจได้เดินป่ากับหลานๆ
ส้วมไทยสะอาดปานกลาง อนามัยแก้ปัญหาฟรี 16-18 พ.ย.





ข่าวการศึกษา


ศธ.เร่งหาข้อสรุปโละโควตา 'เด็กเส้น'

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าแนวทางการรับนักเรียนชั้น ม.1 ประจำปีการศึกษา 2550 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้เสนอแนวทางรับนักเรียนชั้น ม.1 มายังตนเพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งสัดส่วนเป็นไปตามแนวทางที่ได้หารือไว้แล้ว คือ โรงเรียนทั่วไปรับนักเรียนตามเกณฑ์พื้นที่ใกล้บ้าน หากจำนวนนักเรียนมากเกินกว่าที่โรงเรียนรับได้ให้ใช้วิธีการจับสลาก หรือใช้ แนวทางอื่นตามความเหมาะสม แต่จะต้องไม่ใช้วิธีสอบคัดเลือก ส่วนโรงเรียนยอดนิยม 430 แห่ง ให้การจับสลากเด็กในพื้นที่บริการร้อยละ 50 สอบคัดเลือกร้อยละ 40 และอีกร้อยละ 10 สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษและเหตุผลพิเศษ ซึ่งในส่วนของเงื่อนไขพิเศษร้อยละ 10 ต้องมาหารือเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า หากยกเลิกและให้สัดส่วนนี้ไปรวมกับการสอบคัดเลือกจะส่งผลกระทบอย่างไรหรือไม่ จึงต้องหารือกันอีกครั้งเพื่อรับฟังความเห็นเพิ่มเติมก่อนได้ข้อสรุป ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์นี้แนวทางรับนักเรียนชั้น ม.1 น่าจะได้ข้อสรุป “เด็กฝาก หรือเด็กเส้น ร้อยละ 10 จะคงไว้หรือไม่ หากยกเลิกประชาชนยอมรับได้หรือไม่ ในสัปดาห์นี้คงได้คุยกับผู้บริหาร สพฐ. ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมพยายามหาเวลาเพื่อได้คุยกับผู้บริหาร แต่ที่ผ่านมาจำเป็นต้องเดินทางลงพื้นที่ตลอด จึงทำให้ต้องเลื่อนออกไป เรื่องนี้หารือกันมาหลายครั้งแล้วคงไม่ต้องคุยกันนาน เพราะเหลือประเด็นปฏิบัติบางเรื่องเท่านั้น” สื่อข่าวถามว่า นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่าการยกเลิกเงื่อนไขพิเศษร้อยละ 10 จะไม่สามารถแก้ปัญหาเด็กฝากได้ภายใน 1 ปี ศ.ดร.วิจิตรกล่าวว่า ไม่ได้ระบุว่าปัญหาเด็กฝากจะหมดไปภายใน 1 ปี แต่หากได้เริ่มต้นแก้ปัญหาในปีนี้ก็น่าจะแก้ปัญหาในระยะยาวได้ แต่ถ้าหากไม่เริ่ม มัวแต่มาบ่นกันว่าโรงเรียนมีปัญหาเด็กฝากเด็กเส้น ปัญหาคงไม่ได้แก้ไข และถ้าในปีการศึกษา 2550 สพฐ.เริ่มต้นประกาศว่าไม่มีเด็กที่รับเงื่อนไขพิเศษ พร้อมทั้งมีมาตรการดูแลที่ชัดเจนก็ไม่ต้องห่วง เพราะประชาชนก็จะต้องดูแลผลประโยชน์ตัวเอง หากยังพบว่ามีการกระทำที่ไม่เป็นไปตามประกาศ ยังคงมีเด็กฝาก เด็กเส้นอยู่ ก็สามารถฟ้องร้องศาลปกครองได้ เพื่อเอาผิดโรงเรียนกระทำการผิดเพี้ยนไปจากประกาศได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาขณะนี้คือ กติกายังไม่ชัดเจน แม้จะเห็นอยู่ว่ามีปัญหาแต่ก็ไปบอกว่าโรงเรียนไม่ปฏิบัติตามกติกาไม่ได้ ดังนั้น วันนี้จึงต้องทำกติกาให้ชัดเพื่อเป็นการเริ่มต้น. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





สัปดาห์นี้ประกาศรับม.1ได้เหลือแค่ข้อยุติสัดส่วนร้อยละ10

ศ. ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เสนอการประกาศรับนักเรียนปีการศึกษา 2550 มาให้แล้ว ซึ่งตนจะต้องคุยกันอีกรอบหนึ่งแล้วจะประกาศให้ทราบในสัปดาห์นี้แน่นอน โดยตกลงกันตามสูตรรับนักเรียน ม.1 ให้เลิกสอบเข้า ยกเว้นโรงเรียนยอดนิยม 430 โรงเรียนที่ให้ใช้สูตรรับนักเรียน 50:40:10 คือรับนักเรียนพื้นที่บริการร้อยละ 50 สอบร้อยละ 40 และอีกร้อยละ 10 เป็นความสามารถพิเศษและเงื่อนไขพิเศษ และมีการตั้งประเด็นยกเลิกร้อยละ 10 เพื่อให้เหลือการรับนักเรียนพื้นที่บริการร้อยละ 50 และสอบร้อยละ 50 ซึ่งในร้อยละ 10 ยังมีโรงเรียนติดเงื่อนไขผู้บริจาคที่ดินหรือผู้ทำคุณประโยชน์ให้โรงเรียนจะทำอย่างไรกับเงื่อนไขเหล่านี้ ตนจึงยังรอหารือกับฝ่ายปฏิบัติในประเด็นนี้ก่อน “ผมถึงต้องมาทำกติกาเสียให้ชัดเพื่อจะได้เป็นจุดเริ่มต้น ส่วนปีนี้เริ่มได้ทั้งหมดแล้วหายไปเลยไม่มีก็ดี ไม่เห็นเป็นของเสียหาย อย่างมหาวิทยาลัย สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยใครแตะต้องไม่ได้มาตั้งนานแล้ว จนกระทั่งมีคนมาแตะต้องเข้าถึงได้มีอันเป็นไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ววุ่นวายว่าข้อสอบรั่วหรือไม่รั่ว กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคม สิ่งที่สังคมเขาเคยเชื่อกันมาว่าใครแตะต้องไม่ได้ เด็กฝาก เด็กเส้นไม่มีก็เกิดเคลือบแคลง พอโอเน็ต เอเน็ตยุ่งปีที่แล้ว ก็เลยไปกันใหญ่ แต่ถ้าถามว่าเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยบริสุทธิ์ยุติธรรมมาโดยตลอด คนเชื่อไปแล้วและก็เป็นจริงด้วย พอใครมาทำอะไรเข้าส่อไปในทางที่ไม่เป็นไปอย่างที่เขาเข้าใจ ก็เกิดเป็นเรื่อง แต่ตอนนี้ตรงข้าม เรื่องการสอบคัดเลือก ม.1 ซึ่งเดิมไม่ใช่ภาคบังคับ แล้วมีการใช้ใน 400 กว่าโรงเรียนในวิธีที่จำเป็นและมีเหตุผล ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ตรงนี้จะหมดไปได้เมื่อไร ต้องถามกันอย่างงั้น โดยเฉพาะเด็กฝากร้อยละ 10 ยังจะคงไว้หรือไม่ มีเหตุผลฟังขึ้นหรือไม่ ประชาชนยอมว่าเป็นกติกาที่รับได้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





สมศ.ปลื้มอังกฤษสนประเมินร.ร. หวังกระตุ้นมาตรฐานหน่วยงานไทย

ศ.กิตติคุณ ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวว่า หน่วยงานประเมินจากเคมบริจด์ เอ็ดดูเคชั่น คอมพานี สหราชอาณาจักร ให้ความสนใจจะเข้าร่วมการประมูลงานการประเมินคุณภาพภายนอกโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย นับเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้มาตรฐานการประเมินสถานศึกษาของไทยสูงขึ้น ทั้งจะช่วยทำให้หน่วยงานประเมินของไทยตื่นตัวปรับปรุงคุณภาพการบริหารจัดการให้ดีขึ้น ผอ.สมศ.กล่าวอีกว่า การที่หน่วยประเมินต่างประเทศจะเข้ามาแข่งขันกับหน่วยประเมินของไทยที่กำลังปรับใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสู้ต่างประเทศไม่ได้ เพราะในการประมูลงาน สมศ.ยึดคุณภาพของผลงาน และเกณฑ์การประเมินเป็นสำคัญ ไม่ใช่ฐานะทางการเงินของหน่วยประเมิน ทั้งสติปัญญาของคนไทยไม่แพ้ใครในโลก เพียงหากหน่วยประเมินทั้ง 120 แห่งของไทยเร่งพัฒนาคุณภาพ เลิกเล่นพรรคเล่นพวก เลิกทำงานแบบรับเหมา คือหน่วยงานหนึ่งประมูลงานไปแล้วไปแบ่งงานให้หน่วยอื่น หน่วยประเมินของไทยก็สามารถเข้าสู่เวทีการแข่งขันได้ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





อธิการฯมศว.แนะ ศธ.เชิญชุมชนร่วมร่างหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง

ศ. ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) กล่าวถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา โดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวมถึงการจัดทำร่างหลักสูตรการเรียนการสอนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ถือเป็นเรื่องดีที่มีความพยายามผลักดันเรื่องนี้ แต่มีข้อสังเกตว่า การประชุมเฉพาะกลุ่มผู้แทนสถานศึกษาในสังกัด ศธ. และ กทม.นั้นไม่พอ เนื่องจากโรงเรียนต้นแบบใน 175 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศตามเป้าหมายของ ศธ.นั้น มีความแตกต่างกัน จึงควรเขียนหลักสูตรโดยคำนึงถึงการนำไปใช้ในแต่ละพื้นที่ที่ต่างมีปรัชญา ภูมิปัญญาเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงแฝงอยู่แทบทั้งสิ้น ดังนั้น ควรเปิดโอกาสให้ชุมชนช่วยกันทำหลักสูตรเพื่อให้เกิดเป็นพหุความคิด จากนั้นต้องเปิดให้วิพากษ์หลักสูตรก่อนนำมาใช้ แต่การเร่งรีบทำตามการสั่งการนั้นจะไม่เกิดประโยชน์มากนัก นอกจากนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษานั้นไม่ได้อยู่ที่หลักสูตรเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับครู ผู้บริหารโรงเรียน กระบวนการเรียนการสอน และสื่อทางการศึกษา ที่สำคัญคือ ครูจำนวนไม่น้อยมีวิธีคิดเรื่องระบบทุนนิยม การแข่งขัน ซึ่งหากจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงคงต้องปรับรื้อวิธีคิดของครูด้วย ขณะที่ต้องมีการลงทุนพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในสังคมไทยให้เข้มแข็งและมีมากขึ้น โดยบ้าน ชุมชน สังคม และสื่อมวลชน จะต้องร่วมมือกัน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





โยนมั่ววัดผลการศึกษา เด็กไม่สนใจสอบ-งบมาไม่ทัน

ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)เปิดเผยถึง ผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษา ว่าเรื่องการจัดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สทศ.จะ ต้องกำหนดให้นักเรียนปลายช่วงชั้น ตั้งแต่ ป.3 ป.6 ม.3 และ ม.6 เข้าสอบทุกคน ปัจจุบัน สทศ. สามารถจัดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทุกคนได้แค่ช่วงชั้น ที่ 4 หรือ ม.6 เท่านั้น คือ การสอบ O-NET และในปีการศึกษา 2549 ก็ยังไม่สามารถขยายจัดสอบในช่วงชั้นอื่นๆได้ เท่าที่ทำไป ทำได้เพียงสุ่มสอบเพิ่มในระดับ ม.3 ป.6 และ ป.3 เท่านั้น อย่างไรก็ตามในปีการศึกษา 2550 ทาง สทศ. และสพฐ. ได้ตกลงกันว่า จะไปจัดสอบช่วงต้นปี 2551 และจะขยายการจัดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนนักเรียน ม.3 ทุกคนสอบทั้งหมด 5วิชา โดยในปีการ ศึกษา 2551 จะจัดสอบวัดผลสัม ฤทธิ์ทางการเรียนให้ครบทุกช่วงชั้น และเท่าที่ไม่สามารถจัดสอบระดับ ป.6 และ ป.3 ได้ทันในปี การศึกษา 2550 เนื่องจากเสนอของบประมาณปี 2550 ไม่ทัน จึงต้องรองบประมาณ 2551แล้ว นำไปจัดสอบต้นปี 2552(ปีการศึกษา 2551 )ซึ่งการจัดสอบระดับ ป.3 และ ป.6 ต้องใช้งบประมาณ 140 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วอย่างต่ำใช้หัวละ 27 บาท อย่าไงก็ตาม สทศ.จะพยายามของบกลาง ปี 2550 อีกครั้ง หากสำนักงบฯอนุมัติอาจจะจัดสอบ ป.3 และ ป.6 ได้ทัน ต้น ปี 2551 ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวถึงผลการสอบ O-NET ที่ผ่านมา ว่า มีนักเรียนบางส่วนไม่ตั้งใจทำข้อสอบ คะแนนสอบที่ออกมาจึงเชื่อถือไม่ได้ และไม่สะท้อนการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนที่แท้จริง ดัง นั้น เพื่อให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจในการทำข้อสอบ สทศ.จึงได้เสนอขอให้ สพฐ. กำหนดให้การสอบวัด ผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็น Exit Exam คือ นักเรียนทุกคนต้อง ผ่านการสอบดังกล่าวและได้ คะแนนตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จึงจะถือว่าจบการ ศึกษา ซึ่ง สทศ.จะได้ไปศึกษาว่า ในแต่ระดับชั้น นั้น คะแนน Performance Standard หรือ คะแนนขั้นต่ำที่นักเรียนต้องทำได้ถึงจะถือว่าจบการศึกษา ควรเป็นเท่าใด โดยเฉพาะในระดับ ม.6 นั้น คะแนน Performance Standard จะทำออกมาเป็น 2 ค่า คือ คะแนนขั้นต่ำสำหรับจบการศึกษา และคะแนนขั้นต่ำ สำหรับนำไปสมัครเรียนต่อในระดับ อุดม ศึกษา ถ้า สพฐ. ไปศึกษาแล้วว่า Exit Exam ไม่สามารถทำได้ เพราะขัดระเบียบ หรืออื่น ๆ สทศ. จะไปศึกษาหาแรงจูงใจในรูปแบบอื่น ๆ แทน แต่ย้ำว่า สทศ.อยากให้ นักเรียนทุกคนตั้งใจทำข้อสอบ เพื่อได้ข้อมูลที่ตรงความจริงเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุง คุณภาพโรงเรียน และอยากให้ สพฐ.ไปสำ รวจด้วยว่า มีโรงเรียนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่งผลต่อการเข้าสอบ O-NET ของนักเรียนหรือไม่ ซึ่ง สทศ. สามารถเลื่อนสอบ O-NET ให้นักเรียนกลุ่มนี้ได้ แต่จะเป็น ผลเสียต่อเด็กเอง เพราะต้อง สอบ O-NET ช้าลง ขณะที่กำหนดการอื่น ๆ ไม่เลื่อนตาม (แนวหน้า จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.naewna.com)





รวมกองทุนเรียนเน้นเด็กได้ประโยชน์ “เปรมประชา”

จากการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทางการบูรณาการกองทุน กยศ.และกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ดร.เปรมประชา ศุภสมุทร ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เผยผลการประชุมว่า ที่ประชุมสรุปแนวทางการรวมกองทุน กยศ.และกรอ. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะต้องนำเสนอต่อที่ประชุม กยศ. เพื่อพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับกับแนวทางดังกล่าว ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ซึ่งเชื่อว่าจะต้องได้ข้อสรุปแนวทางการรวม 2 กองทุนแน่นอน เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้เมื่อมีการรวมกองทุนทั้ง 2 กองทุนแล้ว ตนจะเสนอขอให้ผู้กู้ของทั้ง 2 กองทุนย้ายมาอยู่ในกองทุนใหม่ด้วย เพื่อประโยชน์กับทุกฝ่าย ซึ่งเด็กจะได้รับประโยชน์สูงสุด และรัฐก็สามารถรับภาระเงินกู้ได้ โดยผู้กู้จะได้ไม่ต้องมาเป็นภาระในการจ่ายเงินคืน ส่วนกองทุนจะบริหารจัดการกองทุนง่ายขึ้น และรัฐจะได้ไม่ต้องมารับภาระในส่วนที่ผู้กู้ยังไม่จ่ายเงินคืน “ผมรับรองว่าการที่ผู้กู้เดิมจะย้ายมาอยู่ในกองทุนใหม่นั้น ผู้กู้จะไม่เสียประโยชน์แต่อย่างใด มีแต่จะได้รับประโยชน์ เช่น หลักเกณฑ์เดิมผู้กู้ กรอ.จะต้องใช้เงินคืนเมื่อมีรายได้ 16,000 บาทต่อเดือน ซึ่งมีข้อดีคือจะทำให้ผู้กู้มีเวลาในการจ่ายเงินคืน แต่ผู้กู้ก็จะเสียดอกเบี้ยตามอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 5 แต่เมื่อมาอยู่ในกองทุนใหม่ผู้กู้อาจจะต้องจ่ายเงินคืนเร็วขึ้น โดยอาจกำหนดให้ชำระคืนเมื่อมีรายได้ 12,000 บาทต่อเดือน แต่ดอกเบี้ยจะลดลงซึ่งอาจจะเหลือร้อยละ 2 แต่ถ้าผู้กู้จะไม่ย้ายกองทุนก็สามารถทำได้เช่นกัน” ดร.เปรมประชากล่าว ส่วนกรณีที่ขณะนี้มีผู้กู้ กรอ.จำนวนมากขอเปลี่ยนหลักสูตรที่เรียน เพราะหลักเกณฑ์ของ กรอ.เปิดกว้างให้สามารถเปลี่ยนหลักสูตรได้นั้น ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า ในสภาพความเป็นจริง ผู้กู้ กรอ.หรือ กยศ. สามารถเปลี่ยนหลักสูตรเรียนได้เหมือนกัน แต่วิธีการดังกล่าวไม่เป็นผลดีกับตัวเด็ก ทั้งนี้ทาง กยศ.มีมาตรการให้การป้องกันไว้ โดยการกู้นั้น ผู้กู้จะกู้เรียนได้เพียง 1 หลักสูตรเท่านั้น แต่ถ้าเปลี่ยนหลักสูตรระยะเวลากู้จะลดลง เพราะหลักสูตรปริญญาตรีใช้เวลาเรียน 4 ปี หากเรียนปี 1 แล้ว จากนั้นเปลี่ยนหลักสูตรหรือเปลี่ยนคณะ ก็ต้องเริ่มเรียนปี 1 ใหม่ แต่ระยะเวลาให้กู้จะเหลือเพียง 3 ปี ที่เหลืออีก 1 ปี ผู้กู้จะต้องไปหาเงินมาเสียค่าใช้จ่ายเอง (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





การเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

กระบวนการที่สำคัญของการปฏิรูปการศึกษา ได้แก่ การปฏิรูปการสอนและการปฏิรูปการเรียนรู้ อาจกล่าวได้ว่า เมื่อดำเนินการปฏิรูปการสอนเรามุ่งหมายให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ตัวครู ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินงานมาตลอดในปี 2549 เราได้เน้นการสอนที่ดี ๆ มากมายในหลายสถานศึกษา ส่วนการปฏิรูปการเรียนรู้ เป็นเรื่องที่มุ่งจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยที่การเรียนรู้ เป็นกระบวนการภายในตัวของคนแต่ละคน เวลากล่าวถึงการเรียนรู้จึงมีความเป็นนามธรรมสูง เพราะเรามองไม่เห็น จับต้องการเรียนรู้ของคนได้ยาก แต่กระนั้นก็ยังมีร่องรอยของการเรียนรู้ของคนให้เราได้ติดตาม ได้เรียนรู้ว่าคนแต่ละคนมีวิธีการที่จะเรียนรู้ได้อย่างไร หากกล่าวคร่าว ๆ มนุษย์แต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น เรียนรู้โดยการเลียนแบบ เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากการคิดแบบต่าง ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นได้เรียนรู้ไว้แล้วจึงไปเรียนรู้ตาม หรือแม้แต่เรียนรู้จากการสังเกต การดู การฟัง การอ่าน การเรียนรู้อาจแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีครูสอน มีหลักสูตร มีแนวทาง มีวิธีการกำหนดชัดเจน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้จาก การศึกษาในระบบ ในขณะเดียวกันระบบของการศึกษาอีกลักษณะหนึ่งก็จัดให้ยืดหยุ่น ปรับกฎเกณฑ์ กติกาให้ลดหย่อนลงตามสภาพของผู้เรียน เราก็เรียกว่าเป็นการเรียนรู้จาก การศึกษานอกระบบ และส่วนสุดท้าย แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิตก็คือ การเรียนรู้ที่มีความหลากหลายมาก อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ได้ ซึ่งเรียกว่าเป็นการเรียนรู้จาก Informal-education ที่เรามาแปลว่าเป็น การศึกษาตามอัธยาศัย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ชี้แอดมิชชั่นไม่ได้ลดเครียด

จากการเสวนาวิชาการเรื่อง “ระบบแอดมิชชั่นในทัศนะนักบริหารและนักวิชาการการทดสอบ” เมื่อเร็ว ๆ นี้ รศ.ดร.สุรศักดิ์ อมรรัตนศักดิ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.) กล่าวว่า ปัจจุบันระบบใหม่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตามที่เคยกล่าวอ้างไว้ที่ว่าระบบแอดมิชชั่นจะทำให้เด็กสนใจเรียนในห้องมากขึ้นและแก้ปัญหากวดวิชาได้ แต่กลายเป็นว่าเด็กยังต้องเรียนกวดวิชาอยู่และเรียนมากขึ้นทั้งในและนอกห้องเรียน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ช่วยลดความเครียดของเด็กและผู้ปกครอง แต่จะมีเพียงการกระจายโอกาสทางการศึกษาที่ทำให้เด็กต่างจังหวัดมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยได้มากขึ้น แต่ส่วนตัวคิดว่าการรับเด็กผ่านโควตาก็ช่วยกระจายโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กได้อยู่แล้วหรือไม่เช่น นั้นรัฐก็ต้องทุ่มงบประมาณพัฒนาโรงเรียนในภูมิภาคให้มากขึ้น โดยจัดหาครูที่มีคุณภาพไปสอน เพราะถึงอย่างไรเราก็ควรจะคงระบบเอนทรานซ์ที่สามารถคัดสรรคนเก่งที่สุดเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยไว้เหมือนเดิม การนำผลการเรียนเฉลี่ยสะสม ม.ปลาย (GPAX) มาเป็นส่วนประกอบในการคัดเลือกนั้นตนได้คัดค้านมาตลอด เพราะมาตรฐานของโรงเรียนยังแตกต่างกันทุกแห่ง นอกจากนี้ระบบแอดมิชชั่นยังไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นกับการตรวจข้อสอบด้วยข้อสอบอัตนัยว่าจะเที่ยงตรงเพียงใด แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตหาก GPAX แต่ละโรงเรียนมีมาตรฐานเดียวกันแล้วจะนำมาใช้ทั้ง 100% ตนก็ไม่ขัดข้อง “หากต้องนำผลการเรียนมาใช้ในการคัดเลือก ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าการให้เกรดของโรงเรียนมีมาตรฐานใกล้เคียงกันก็ต้องหามาตรการในการถ่วงน้ำหนักคะแนน แต่ถ้าไม่มีระบบถ่วงคะแนน แม้จะนำผลการเรียนมาใช้แค่ 1% ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง” รศ.ดร.สุรศักดิ์ กล่าวและว่า ปัจจุบันช่องทางการเข้ามหาวิทยาลัยมีได้หลายทาง อาทิ การรับตรง โควตาช้างเผือก หรือการสอบคัดเลือก ซึ่งช่องทางที่มหาวิทยาลัยคัดเลือกเองนั้น ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะมีความยุติธรรม ดังนั้นตนจึงอยากให้คงช่องทางที่มีความยุติธรรมไว้สักช่องทางหนึ่ง เพราะหัวใจสำคัญของการคัดเลือกคือความยุติธรรม ซึ่งมีความหมายต่างกับความเป็นธรรม. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


ตู้ปลาไฮเทค

ตู้ปลาไฮเทค พนักงานของบริษัทเจแปน คาร์ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผลิต Denso สาธิตการทำงานของ OLED:Organic Light-Emitting-Diod ซึ่งเป็นจอบางเบา โค้งงอได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กระจกกับหลอดไฟด้านหลังของจอ ใช้การเรืองแสงของจุดสีที่อยู่ในจอแทน ทำให้กินไฟน้อย โดยนำไปใส่ไว้ในตู้เลี้ยงปลาเพื่อบอกอุณหภูมิและค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำ จัดแสดงอยู่ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (เดลินิวส์ จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





สู่เส้นทางฝัน “รถอัจฉริยะไร้คนขับ” ต้นแบบคันแรกของไทยอีก 3 ปี

สมาคมวิชาการหุ่นยนต์ไทยร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดสัมมนา “ประเทศไทยจะพัฒนารถอัจฉริยะไร้คนขับคันแรกได้อย่างไร” เพื่อเผยแพร่ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเชื่อมต่องานวิจัย อันจะสามารถขยายผลสู่เชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย ทั้งยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับประเทศ ทั้งนี้ โครงการพัฒนารถอัจฉริยะไร้คนขับโดยรับความร่วมมือในลักษณะเครือข่ายการวิจัยจาก 12 สถาบันคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ(สจพ.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร(SIIT) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย(เอไอที) มหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.) และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(จปร.) ความร่วมมือดังกล่าวเป็นโครงการเพื่อพัฒนารถที่มีความเป็นอัจฉริยะ สามารถขับเคลื่อนจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่หนึ่งได้โดยปราศจากคนบังคับ และอาศัยเพียงการป้อนข้อมูลสถานที่เป้าหมายของผู้โดยสาร และรถจะรับรู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ตรวจวัดประเภทต่างๆ ที่ติดตั้งในรถยนต์ เช่น อุปกรณ์ตรวจวัดตำแหน่งปัจจุบันของรถ อุปกรณ์ตรวจวัดตำแหน่งของรถคันที่สวนทางมา อุปกรณ์ตรวจวัดสิ่งกีดขวางทั้งที่อยู่นิ่งและเคลื่อนทีบนเส้นทาง อุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณจราจร เป็นต้น แต่ละสถาบันจะรับผิดชอบในโครงการย่อยตามความถนัดโดยมีสถาบันเอไอทีบริหารโครงการโดยรวมทั้ง 12 โครงการ ในส่วนงานวิจัยทางกลไกของรถอัจฉริยะรับผิดชอบโดย จุฬาฯ และ สจล. ส่วนงานด้านอุปกรณ์ตรวจวัด เช่น การใช้สัญญาณภาพตรวจจับสิ่งกีดขวาง เป็นต้น รับผิดชอบโดย มจธ. ม.กรุงเทพและ สจพ. งานส่วนระบบควบคุม เช่น ควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ เป็นต้น รับผิดชอบโดย SIIT มหิดล และ มก. ในส่วนเชื่อมต่อการแสดงผลกับผู้ใช้และควบคุมทางไกล รับผิดชอบโดย เอไอที จากนั้นเมื่อทุกส่วนทำสำเร็จก็จะนำผลงานมารวมกันเพื่อสร้างเป็น “รถอัจฉริยะ” ต้นแบบ (ผู้จัดการ จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





ตั้งเป้า 1 ปี "พ.ร.บ.พื้นฐานความรู้ความรู้วิทย์" เป็นรูปธรรม

วันที่ 10 พ.ย. 49 ในการแถลงนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเป็นทางการนัดแรกของ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ในฐานะเจ้ากระทรวงฯ กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่จะเร่งผลักดันให้เห็นเป็นรูปธรรมในช่วง 1 ปีของรัฐบาล โดยให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล ใน 2 ร่างฯ ด้วยกัน คือ ร่าง พ.ร.บ.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และร่าง พ.ร.บ.สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (ไทย-เอสที) สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จะใช้เป็นนโยบายหลักการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย ให้เกิดการวางรากฐานสังคมแห่งปัญญา และเพื่อให้เกิดการนำไปใช้อย่างสอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี ดร.กอปร กฤตยากีรณ กรรมการบริหารมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และที่ปรึกษา รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นผู้ดูแลการยกร่างฯ ซึ่งร่างดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (ไทย-เอสที) จะเป็น พ.ร.บ.ที่จัดทำขึ้นเพื่อรองรับเครือข่ายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน 4 ภาคส่วน ระหว่างมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีไทย หน่วยงานวิจัยไทย ภาคเอกชนไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีต่างประเทศ เพื่อทำให้เกิดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกันในรูปแบบมหาวิทยาลัยเสมือนที่มีความอิสระและคล่องตัว โดยจะเป็นการพัฒนานักศึกษาไทยให้เป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ไปในตัว ซึ่งในการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมี ศ.ดร.ยอดหทัย เทพธรานนท์ ประธานคณะกรรมการบริหารบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.) และที่ปรึกษา รมว.วิทยาศาสตร์ฯ อีกคนหนึ่ง เป็นผู้ดูแลการยกร่างฯ ส่วนในการดำเนินการยกร่างแผนแม่บทปัจจัยพื้นฐานทางปัญญาร่วมกันกับกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รมว.อุตสาหกรรม และรองนายกผู้กำกับดูแล วท. พบว่า ขณะนี้ร่างดังกล่าวใกล้จะทำเสร็จแล้ว และจะมีการทำประชาพิจารณ์ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ประกอบการเอกชน ให้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมต่อร่างดังกล่าวในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) (ผู้จัดการ จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





ทีเอ็มซีเปิดติว “อะลูมิเนียมอัลลอยด์สมัยใหม่” เริ่มเรียนปลายเดือนนี้

โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฉีด หล่อ อะลูมิเนียม ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับเทคโนโลยีการฉีด หล่อ อะลูมิเนียม และการทดสอบชิ้นงาน เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อติดตามทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีการฉีด หล่อ อะลูมิเนียม การนำไปใช้ และพัฒนาความรู้ทักษะของผู้ปฏิบัติงานในหลักสูตร “The Modern Aluminium Alloy in Automobile” ด้านเนื้อหาหลักสูตรจะนำเสนอถึงแนวโน้มการใช้อะลูมิเนียมในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่นับวันจะขยายตัวขึ้นอย่างทวีคูณในศตวรรษนี้ และเรียนรู้ถึงกลไกสำคัญในการใช้ Modern Die Casting Alloy ที่มีคุณภาพสูง และมีกระบวนการผลิตที่ดี โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเยอรมนีเป็นวิทยากร และมีการแปลเป็นไทยตลอดการบรรยาย สำหรับผู้สนใจ หลักสูตรการอบรมดังกล่าวได้เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะรับจำนวนจำกัดเพียง 40 คน และจะเริ่มอบรมในระหว่างวันที่ 28 - 29 พ.ย. 2549 เวลา 08.30 - 17.00 น. ณ โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค ห้องสุโขทัย 2 หรือสามารถสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อโครงการ ITAP โทรศัพท์ 0-2564-7000 ต่อ1376-8,1382 หรือ 086-988-8376, 081-424-9041 และ 089-899-8349 (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





หอดูดาวสิรินธร มช.เปิดให้ชมฝนดาวตก "ลีโอนิดส์" 18 พ.ย.

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สวดช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนผู้สนใจร่วมชมฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) ในคืนวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. นี้ ตั้งแต่เวลา 21.00 น. จนถึงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ย. ณ หอดูดาวสิรินธร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฝนดาวตกลีโอนิดส์ เกิดจากเศษวัสดุ เช่น น้ำแข็ง หรือหิน ที่หลุดออกมาจากดาวหางเทมเพล เทตเทิล ( Temple-Tuttle) ซึ่งโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ทุกๆ 33 ปี แต่ละครั้งที่เดินทางเข้ามาก็ทิ้งชิ้นส่วนเหล่านั้นไว้ตามรายทาง เมื่อโลกโคจรตัดผ่านหรือเข้าใกล้แนวเส้นทางของดาวหางดวงนี้ ก็จะดึงเอาเศษฝุ่นอวกาศเหล่านั้นตกสู่โลก ขณะที่พวกตกลงมาก็จะเสียดสีกับชั้นบรรยากาศโลก ถูกเผาไหม้จนเกิดแสงสว่างลุกวาบดูเหมือนฝนลูกไฟ และนี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “ฝนดาวตก” (Meteor shower) สำหรับฝนดาวตกที่มีศูนย์กลางแนวการเคลื่อนที่ของลูกไฟ จากกลุ่มดาวสิงโต (Leo) นี้ เป็นฝนดาวตกที่มีจำนวนดาวตกถึงชั่วโมงละหลายร้อยถึงหลายพันดวง ครั้งล่าสุดที่ดาวหางเทมเพล เทตเทิล ผ่านเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และโลกคือเมื่อปี 2541 ทำให้ในปี 2545 เกิดฝนดาวตกที่มีอัตราดาวตกถึง 1,000 ดวงต่อชั่วโมง อย่างไรก็ดี นับแต่ปี 2546 เป็นต้นมา จำนวนดาวตกกลับลดลงเหลือเพียงไม่กี่ 10 ดวงต่อชั่วโมง (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





“ไบโอดีเซล” พลังขับเคลื่อน “เกษตรไร้พิษ” ชุมชน “วังน้ำเขียว”

อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา มี “กลุ่มส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ” ซึ่งทำเกษตรอินทรีย์ตามแนวพระราชดำริ โดยเน้นปลูกไม้ยืนต้น 3 ประเภท คือ ไม้กินได้ ไม้ใช้งานและไม้พลังงาน นอกจากนี้ยังปลูกผักผลไม้ อาทิ ผักเมืองหนาว แครอท บีทรูท และเสาวรส เป็นต้น ผลผลิตเหล่านี้จะส่งขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมทั้งแปรรูปเป็นน้ำผลไม้หรือเครื่องอุปโภคอย่าง แชมพูสมุนไพร ครีมอาบน้ำ เป็นต้น แล้วจัดจำหน่ายในรูปแบบของสหกรณ์ การทำเกษตรไร้สารพิษที่เห็นเป็นรูปธรรมจึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อ 9 ต.ค. 2541 นายอำนาจ หมายยอดกลาง ประธานกลุ่มฯ และผู้ริเริ่มส่งเสริมให้ชุมชนหันมาปลูกพืชไร้สารพิษ เปิดเผยว่าได้พยายามเปลี่ยนความคิดชาวบ้านจากที่เน้นปลูกพืชเชิงเดี่ยวให้เปลี่ยนมาปลูกพืชที่มีความหลากหลาย โดยยึดแนวพระราชดำริในการปลูกไม้ยืนต้น 3 อย่างคือ ไม้กินได้ ไม้ใช้งานและไม้พลังงาน โดยตัวเขาเองเดิมมีอาชีพเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์และได้หันมาเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ พ.ศ.2539 การดำเนินงานที่จริงจังทำให้ปัจจุบันทางกลุ่มฯ มีสมาชิกแล้ว 600 คน ในส่วนของไม้กินได้นั้นนายอำนาจกล่าวว่าไม่มีปัญหาเพราะมีตลาดระดับบนรองรับ ซึ่งปัจจุบันผลิตมาเท่าไหร่ก็ขายได้หมด แต่เพื่อความยั่งยืนของชุมชนจึงได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านพึ่งพาตัวเองในด้านพลังงาน โดยเริ่มจากการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว และนำไปใช้กับเครื่องยนต์สูบเดียว เช่น เครื่องยนต์สูบน้ำ และรถไถ่นา เป็นต้น และเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมานี้ได้ทำโครงการปลูกพืชพลังงานอย่าง “สบู่ดำ” และมีประชาชนเข้าร่วมเพาะปลูกแล้วประมาณ 400-500 ไร่ ใน อ.ปักธงชัย และ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา และ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ร่วมทั้งโครงการ “ถนนพลังงาน” ซึ่งได้ความร่วมมือจากทางราชการให้ใช้พื้นที่ไหล่ถนน 2 ข้างทางปลูกสบู่ดำเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร เพื่อเป็นตัวอย่างในการใช้พื้นที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





แค่ “เลือกกิน” ก็ลดวิกฤติ “โลกร้อน” ได้

จากการทำโครงการรอยเท้าทางนิเวศน์ในโรงเรียนหรือ “อีโค-ฟุตพริ้นท์” (School Ecological Footprint Challenge) เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ของบริติช เคานซิล ประเทศไทย (British Council) ร่วมกับสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเริ่มดำเนินการกับ “โรงเรียนในฝัน” ของกระทรวงศึกษาธิการ 31 แห่ง โดยการอบรมให้ความรู้ครู-อาจารย์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และจะได้ขยายผลไปยังโรงเรียนอื่นๆ อีก 600 โรงเรียนทั่วประเทศ ภายในเวลา 9 เดือน ทั้งนี้ น.ส.จูแพน่า เพ็ญเพชรศักดิ์ นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนกาวิละวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็น 1 ในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่าในการใช้ทรัพยากรใน 6 อย่างคือพลังงานไฟฟ้า น้ำ การเดินทาง อาคาร อาหารและขยะนั้น อาหารดึงทรัพยากรจากธรรมชาติออกมาบริโภคมากที่สุด เพราะทุกคนต้องกินและเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่อยากให้คิดและคำนึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยการเลือกกินอาหาร สำหรับรอยเท้าทางนิเวศน์นั้นเป็นการวัดผลกระทบที่บุคคล โรงเรียน เมือง หรือประเทศมีต่อสิ่งแวดล้อม โดยคิดเป็นปริมาณของพื้นที่บนโลกที่ต้องใช้เพื่อผลิตทรัพยากรในการตอบสนองความต้องการทั้งหมดแก่มนุษย์ รวมทั้งกระบวนการจัดการกับของเสียทั้งหมด ทั้งนี้วัดจากการบริโภคและขยะที่เกิดจากการบริโภค ตัวอย่างง่ายๆ ของการวัดรอยเท้าทางนิเวศน์ เช่น การขับรถที่ให้ของเสียเป็นก๊าซต่างๆ นั้น สามารถแปรเป็นค่าของต้นไม้และพื้นที่ของต้นไม้สำหรับดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนทั้งหมด หากการขับรถคันหนึ่ง 1 กิโลเมตรทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 160 กรัม และ 1 ปีขับรถ 10,000 กิโลเมตรจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1.6 ตัน หากต้องใช้ป่าพื้นที่ 1 เฮคตาร์หรือประมาณสนามฟุตบอลซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 3 ตันต่อปี ก็จะต้องใช้ป่า 0.53 เฮคตาร์กำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขับรถ 1 คันตลอดทั้งปี (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





นาซาเนรมิตดาวอังคารให้เหมือนโลก ปล่อยบอลลูนกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ให้อบอุ่น

ไรเจล วอยดา นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยอริโซนา สหรัฐ ศึกษาความเป็นไปได้ที่จะสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้บางพื้นที่บนดาวอังคาร โดยใช้แผ่นกระจกที่โคจรอยู่รอบดาวอังคารสะท้อนแสงอาทิตย์ลงมาให้ความอบอุ่น ไอเดียของเขาก็คือ ใช้บอลลูนสะท้อนแสงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 150 เมตร 300 ลูกเรียงต่อกันให้มีความยาว 1.5 ตารางกิโลเมตร ลอยอยู่เหนือดาวอังคาร กระจกจะทำหน้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์ลงบนพื้นดาวแห่งนักรบดวงนี้ กระจกจะสะท้อนแสงลงมาครอบคลุมพื้นที่ยาว 1 กิโลเมตร ทำให้อุณหภูมิที่แสนหนาวเหน็บของดาวอังคารอบอุ่นสบายที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส จากเดิมที่เย็นสุดขั้วตั้งแต่ -140 องศาเซลเซียส ถึง -60 องศาเซลเซียส อากาศที่อบอุ่นขึ้นเท่ากับว่านักบินอวกาศไม่ต้องสวมชุดที่บุฉนวนหนาและหนัก ช่วยให้การปฏิบัติภารกิจสะดวกขึ้น นอกจากนี้ แสงอาทิตย์ที่สะท้อนลงมาจากบอลลูนกระจกยังใช้ผลิตไฟฟ้าให้แผงโซลาร์เซลล์ได้ด้วย อุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นยังทำให้น้ำแข็งละลาย และใช้เป็นแหล่งน้ำบริโภคสำหรับนักบินอวกาศ หรืออาจนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับทำเชื้อเพลิงเพื่อใช้เดินทางกลับโลกได้ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิจัย/พัฒนา


โปรแกรม "กูเกิล" เป็นผู้ช่วยแพทย์ ค้นเจออาการ ของโรคหายาก

คณะนักวิจัยของโรงพยาบาลเจ้าหญิงอเลกซานดรา ที่นครบริสเบน กล่าวเปิดเผยว่า ได้อาศัยโปรแกรมกูเกิลสืบค้นข้อมูล เพื่อวินิจฉัยอาการโรคแปลกๆ ออกได้ถึง 15 ราย ในจำนวน 26 ราย ซึ่งมีความแม่นยำสูงถึง 58% มีอาการของโรคตั้งแต่ตับแข็ง ไปจนถึงโรคที่เกิดจากถูกแมวข่วน คณะนักวิจัยได้ กล่าวในรายงานผลการศึกษาว่า ข้อมูลจากเว็บต่างๆในอินเตอร์เน็ต กลับมามีความสำคัญในฐานเป็นเครื่องมือใหม่สุด ของสถานตรวจและรักษาโรคให้กับหมออย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ได้เตือนว่า “ผลที่ได้จากกูเกิลยังเป็นเพียงฐานความรู้ ที่ขึ้นอยู่กับผู้สืบค้นเท่านั้น” เท่ากับเป็นการเตือนกับคนไข้ที่อาจอุตริ เอาไปใช้เพื่อวินิจฉัยโรคของตัวเองเข้าเป็นพิเศษ ทางสมาคมคนไข้ของออสเตรเลีย ก็อดห่วงไม่ได้อยู่เหมือนกัน โดยนางแคเธอรีน เมอฟีโฆษกสมาคมกล่าวว่า “เรื่องนี้อาจเป็นอันตรายมาก เพราะเว็บหลายเว็บไม่ได้มีกฎข้อบังคับควบคุม นอกจากนั้น ข้อมูลก็อาจเชื่อถือกันไม่ได้”. (ไทยรัฐ จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ฟีโบ้พัฒนาหุ่นยนต์กลิ้งกระโดดศึกษาการเคลื่อนที่รูปแบบใหม่หลบหลีกอุปสรรค

นายจตุรนต์ พลวิชัย นักศึกษาจากสถาบันวิชาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ฟีโบ้ต้องการศึกษาและพัฒนาหุ่นยนต์หลากรูปแบบ เพื่อนำมาใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการออกแบบหุ่นยนต์เพื่อใช้ในงานต่างๆ อาทิ หุ่นยนต์เสมือนคน หรือแม้แต่หุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนเจ้าหุ่นยนต์ลูกฟุตบอล ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่ได้ด้วยการกลิ้งหรือการกระโดด เพื่อศึกษาพลศาสตร์ของหุ่นยนต์ทรงกลม และจะช่วยในการพัฒนาหุ่นยนต์ชนิดอื่นๆ ต่อไปได้ในอนาคต ผลที่ได้จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า หุ่นยนต์ทรงกลมเคลื่อนที่ด้วยการกลิ้งและกระโดด จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกบอลทั่วไป โดยการเคลื่อนที่แบบกลิ้งเกิดจากหลักการเปลี่ยนแปลงจุดศูนย์ถ่วง และการเคลื่อนที่แบบกระโดดมาจากการใช้กลไกสปริง ซึ่งจากการสำรวจหุ่นยนต์ทรงกลมที่พัฒนากันในปัจจุบันได้ออกแบบกลไกการกลิ้งและกระโดดแยกออกจากกัน เนื่องจากติดปัญหาในการออกแบบกลไกที่ซับซ้อน จึงทำให้ประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ลักษณะนี้ลงลงไปจากเดิม ทีมวิจัย ซึ่งมี ดร.ถวิดา มณีวรรณ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการได้ศึกษาวิเคราะห์ระบบพลศาสตร์ในเชิงลึกของลูกบอลทรงกลม เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาสร้างเป็นแบบจำลองเพื่อใช้ในการออกแบบหุ่นยนต์ลูกบอล โดยหุ่นยนต์ต้นแบบที่ได้ ประกอบด้วยกลไกที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่แบบกลิ้งและแบบกระโดดอยู่ในแนวเดียวกัน รวมทั้งสิ้น 6 แกน (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





อุปกรณ์วัดคุณภาพแก๊สโซฮอล์ ฝีมือไทย-มาตรฐานสา

น.ส.ธิติมา ภูศรีโสม นักศึกษาภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เครื่องวัดปริมาณเอทานอลในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เกิดขึ้นจากความร่วมมือของห้องปฏิบัติการร่วมในโครงการ "เฟิร์สแล็บ" ของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นแกนกลาง เพื่อใช้ตรวจสอบ และประกันคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ณ จุดสถานีบริการ เนื่องจากเอทานอลที่เป็นส่วนผสมอาจระเหยออกไปได้ ซึ่งส่งผลให้ค่าออกเทนของน้ำมันตกลง "ในกระบวนการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะต้องเติมเอทานอลลงในน้ำมัน 10% เพื่อใช้แทนสารเพิ่มค่าออกเทนตัวเก่าซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับน้ำมันชนิดดังกล่าวคือ เอทานอลบางส่วนระเหยในช่วงระยะเวลาการเก็บรักษาเพื่อรอจำหน่าย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบคุณภาพน้ำมันทุก 1-2 เดือน" ปัจจุบันการตรวจคุณภาพน้ำมัน จะต้องใช้บริการจากห้องปฏิบัติการ ที่มีเครื่องมือตรวจวิเคราะห์ขนาดใหญ่ และขั้นตอนที่ยุ่งยาก เช่น เครื่องก๊าซโครมาโตกราฟ ขณะที่เครื่องวัดเอทานอลพกพาที่ทีมงานได้พัฒนาขึ้นนี้ ได้รับการออกแบบให้สามารถพกพาไปตรวจคุณภาพน้ำมันนอกสถานที่ได้อย่างสะดวก เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ตลอดจนใช้งานง่ายโดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งเครื่องวัดปริมาณเอทานอลดังกล่าวยังมีราคาถูกกว่าเครื่องก๊าซโครมาโตกราฟ ที่นำเข้าจากต่างประเทศถึง 8 เท่า แต่ไม่สามารถพกพาไม่ตรวจนอกสถานที่ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





กินถั่วเหลืองกับปลาไว้เป็นประจำ เป็นโล่ป้องกันมะ เร็งทรวงอกได้

นักวิจัยสถาบันโรคมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯพบในการศึกษาว่า ผู้ที่กินถั่วเหลืองและปลาเป็นประจำจะไม่ค่อยเป็นมะเร็งทรวงอก ผลการศึกษานับว่าเป็นหลักฐานช่วยยืนยัน ให้เห็นบทบาทของอาหารการกินที่มีต่อโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง สมัยนี้ถึงกับกล้ากล่าวว่า คนไข้มะเร็งทุกประเภทถึงสองในสาม การเกิดโรคร้ายขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง อย่างเช่น การกินอยู่ การสูบบุหรี่และไม่ยอมออกกำลังกาย เป็นต้น ดร.ลาริสสา คอร์ดแห่งศูนย์มะเร็งหัวหน้าคณะผู้วิจัย ได้ศึกษาคนไข้หญิงโรคมะเร็งทรวงอกชาวเอเชีย-อเมริกัน 597 คน เปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่เป็นโรคอีก 966 คน พบว่าผู้หญิงผู้ที่กินอาหารส่วนใหญ่เป็นถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ และซุปข้น ช่วงตอนที่อายุระหว่าง 5-11 ขวบ จะห่างไกลจากโรคมะเร็งทรวงอกมากถึง 58% “การกินอาหารทำจากถั่วเหลืองเมื่อตอนเด็กๆ มีส่วนที่ทำให้โอกาสที่จะเป็นมะเร็งลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ส่อให้คิดว่าช่วงจังหวะของการกินถั่วเหลือง นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเป็นพิเศษ” แม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่า ถั่วเหลืองมีคุณสมบัติช่วยป้องกันมะเร็งอย่างไร ขณะเดียวกัน ได้มีการเสนอผลการศึกษา ในที่ประชุมสมาคมวิจัยโรคมะเร็งแห่งอเมริกัน ที่เดียวกันอีกเรื่องหนึ่ง รายงานว่า ผู้ชายที่มีโอกาสกินปลาอาทิตย์ละ 5 หน หรือมากกว่านั้นจะห่างจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวาร หนักได้ไม่น้อยกว่า 40% (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





เตรียม “ไฮโดรเจน” รับ “เซลล์เชื้อเพลิง” ด้วย “ตัวเร่งนาโน”

ผศ.ดร.นวดล เหล่าศิริพจน์ จากบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) คณะพลังงานและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงได้พัฒนากระบวนการผลิตไฮโดรเจนเพื่อใช้กับเซลล์เชื้อเพลิง โดยพัฒนา “ตัวเร่งปฏิกิริยานาโน” ที่ใช้ในกระบวนการเปลี่ยนสารไฮโดรคาร์บอนเป็นไฮโดรเจน เรียกกระบวนการดังกล่าวว่า “กระบวนการรีฟอร์มมิ่ง” (Reforming) “การออกแบบพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อสังเคราะห์ไฮโดรเจนจากสารไฮโดรคาร์บอนในปัจจุบันยังมีคุณภาพต่ำ มีเขม่ามาก ถ้าทำให้ตัวเร่งมีขนาดเล็กลง จะเพิ่มพื้นที่ผิวเยอะขึ้น ทำให้พื้นที่สัมผัสระหว่างสารตั้งต้นกับตัวเร่งปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น จึงเกิดปฏิกิริยาได้ดีขึ้น” ผศ.ดร.นวดลกล่าว พร้อมทั้งอธิบายว่าหากไม่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการผลิตไฮโดรเจน จะต้องให้ความร้อนแก่ระบบสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ใส่ตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเป็นโลหะหนักจะช่วยลดอุณหภูมิในระบบเหลือ 500-800 องศาเซลเซียส ตัวเร่งปฏิกิริยาชนิดใหม่ที่ได้รับความสนใจในปัจจุบันคือ ตัวเร่งปฏิกิริยาซีเรียมออกไซด์(ซีเรีย) แต่ยังอยู่ที่ระดับไมครอน ทาง ผศ.ดร.นวดลและทีมวิจัยจึงนำนาโนเทคโนโลยีมาช่วยลดขนาดให้สารประกอบซีเรยอยู่ในระดับนาโน และหลังจากนำไปทดสอบในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนจากสารไฮโดรคาร์บอน พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่พัฒนาขึ้นมานั้นมีศักยภาพในการผลิตมากกว่าตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วไปที่ใช้อยู่ (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





นักกฎหมายแม่โดมแนะชุมชนผลิตพลังงานใช้เองยี้ทุนการเมืองผูกขาด

ดร.บรรเจิด สิงคเนติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวระหว่างการสัมมนาเรื่อง “ตื่นคิด ตื่นรู้ กู้วิกฤติ” ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ วานนี้ (3 ส.ค.) ถึงการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผนวกเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ท่ามกลางสังคมทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่มีอำนาจทุนการเมืองเข้ามาทับซ้อนว่า หากสังคมไทยไม่สามารถใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อทำให้ชุมชนเข้มแข็งได้แล้ว สังคมไทยอาจล่มสลายได้ในที่สุด ทั้งนี้เพราะเมื่อมีการเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างชาติต่างๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ สังคมไทยก็อาจกลายเป็นเพียงแหล่งทรัพยากรและแรงงานคนให้กับอำนาจทุนเท่านั้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเขตเศรษฐกิจพิเศษหลังการเปิดเขตการค้าเสรีจะเป็นตัวแย่งทรัพยากรจากชุมชนไป ดังนั้นหากมีการสหวิทยาการความรู้อย่างรอบด้านสู่ชุมชนก็จะเป็นการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นและชุมชนให้เข้มแข็งขึ้นในระยะยาว โดยอีกวิธีหนึ่งที่น่าจะช่วยป้องกันการสูญเสียทรัพยากรของชุมชนไปยังอาจได้แก่ การถือกรรมสิทธิ์ทรัพยากรโดยชุมชน หลีกเลี่ยงการถือกรรมสิทธิ์โดยปัจเจกบุคคลซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือได้ง่าย ตัวอย่างหนึ่งที่อาจมีการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในขณะนี้เช่น การที่ชุมชนต่างๆ จะผลิตพลังงานทดแทนไว้ใช้เองอย่างพอเพียงและมั่นคงในชุมชน ลดการผูกขาดเชิงพลังงานโดยอำนาจรัฐ หรือบริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่อย่าง ปตท. ซึ่งปัจจุบันก็มีงานวิจัยด้านพลังงานทดแทนอยู่มากมาย หากเดินตามยุทธศาสตร์นี้แล้ว นอกจากชุมชนจะเจริญมั่งคั่งและมั่นคง ปัจเจกบุคคลในชุมชนก็ยังจะพลอยได้รับผลประโยชน์ด้วย (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





งานวิจัยใหม่ให้ความหวังระบุป่าไม้โลกกำลังเพิ่มขึ้น

งานวิจัยนี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารกิจกรรมของบัณฑิตยสถานทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐฯ (Proceedings of the National Academy of Sciences) ระบุว่าเมื่อนำเอาเทคนิคที่เรียกว่า "การระบุอัตลักษณ์ป่าไม้" (Forest Identity) ไปปรับใช้กับข้อมูลรายงานประเมินสภาพป่าไม้โลก ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ก็พบว่าพื้นที่ป่าไม้ที่เป็นต้นไม้ใหญ่และขึ้นหนาแน่นนั้น จริงๆ แล้วขยายตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ใน 22 ประเทศของ 50 ประเทศซึ่งมีป่าไม้มากที่สุดของโลก นอกจากนั้น ราวครึ่งหนึ่งของ 50 ประเทศเหล่านี้ ยังมีปริมาณมวลชีวภาพ และความสามารถในการดูดซัมคาร์บอนเพิ่มขึ้น แต่ข้อมูลก็เผยให้เห็นเช่นกันว่า พื้นที่ป่าไม้และมวลชีวภาพยังคงลดลงในบราซิล และ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นถิ่นฐานของป่าเมืองร้อนสำคัญที่สุดหลายประเภทของโลก รายงานนี้ยังแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ กับ "การแปรเปลี่ยนด้านป่าไม้" (forest transition) นั่นคือการเปลี่ยนจากการทำลายป่า หันมามีพื้นที่ป่าไม้ปกคลุมสุทธิเพิ่มขึ้น คณะนักวิจัยพบว่า เมื่อรายได้ประชาชาติ (จีดีพีหารด้วยจำนวนประชากร) ขึ้นถึงระดับ 4,600 ดอลลาร์ ประเทศจำนวนมากจะมาถึงขั้น "การแปรเปลี่ยนด้านป่าไม้" ทั้งนี้ คณะนักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ประชากรในชนบทซึ่งยากจนและกำลังขยายตัว ต้องรุกป่าหาที่ดินใหม่มาทำการเกษตร แต่ถ้าผู้คนมีแหล่งหางานทำอื่นๆ แรงกดดันต่อป่าไม้ก็ย่อมคลายตัวลง นอกจากนั้น การที่สังคมมั่งคั่งขึ้นย่อมเป็นสัญญาณว่า จะมีการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายด้านชนบทซึ่งดีขึ้น (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





ประดิษฐ์กระเพาะเทียมดูการทำงาน ใช้ออกแบบเมนูสุขภาพรักษาเบาหวาน

ดร.มาร์ติน วิคแฮม ผู้อำนวยการออกแบบกระเพาะเทียม เปิดเผยว่า กระเพาะเทียมรุ่นใหม่นี้ทันสมัยกว่าตัวก่อน โดยสามารถเลียบแบบการหดตัวของช่องท้องเพื่อบดย่อยอาหารก่อนที่จะส่งไปยังทางเดินอาหาร กระเพาะเทียมดังกล่าวออกแบบให้ครึ่งบนมีช่องสำหรับใส่อาหาร กรดในกระเพาะ และเอนไซม์ที่ใช้ย่อยอาหารให้ผสมกัน และเมื่อกระบวนการแยกน้ำออกจากอาหารเสร็จแล้ว อาหารจะถูกแตกตัวชิ้นเล็กมากจนซึมเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย นักวิจัยมีคอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมให้อาหารอยู่ในบางส่วนของกระเพาะนานแค่ไหน รวมถึงการปล่อยน้ำย่อยในกระเพาะ ถือเป็นกระเพาะเทียมที่มีความสามารถเป็นกึ่งหนึ่งของกระเพาะจริง อีกทั้งยังสามารถ "กิน" อาหารปกติได้ เช่น ปลา และมันฝรั่งทอด ดร.วิคแมน หวังว่ากระเพาะเทียมจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกระบวนการย่อยอาหารภายในกระเพาะ รวมไปถึงวิธีการที่สารอาหารต่างๆ ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายความเข้าใจกระบวนการต่างๆ เหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการย่อยอาหาร ยกตัวอย่าง หากรู้ว่ากลูโคสจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้เร็วแค่ไหนก็จะช่วยให้หาวิธีรักษาโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ช็อกโกแลตดำลดความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน

คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์เผยผลการศึกษาต่อที่ประชุมสมาคมโรคหัวใจอเมริกันที่นครชิคาโก ว่า เริ่มแรกได้ศึกษาว่าแอสไพรินมีผลต่อการที่เกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่มเลือดอย่างไรแล้วพบว่าอาสาสมัคร 139 คนมีคุณสมบัติไม่เหมาะกับการวิจัย เพราะไม่สามารถเลิกรับประทานช็อกโกแลตได้ตามเงื่อนไขของการวิจัย ต่อมาเห็นว่าน่าจะศึกษากับกลุ่มติดช็อกโกแลตนี้ เพราะทราบมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้วว่าช็อกโกแลตดำช่วยลดความดันโลหิตและมีประโยชน์ต่อการไหลเวียนของโลหิต พวกเขาเปรียบเทียบเกล็ดเลือดของกลุ่มติดช็อกโกแลตกับกลุ่มที่ไม่รับประทานช็อกโกแลต ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะจับตัวเป็นลิ่มเลือด ปรากฏว่ากลุ่มติดช็อกโกแลตเกล็ดเลือดใช้เวลา 130 วินาที ส่วนกลุ่มที่ไม่รับประทานช็อกโกแลตใช้เวลา 123 วินาที คณะนักวิจัยอธิบายว่า สารเคมีในเมล็ดโกโก้มีผลทางชีวเคมีคล้ายกับแอสไพรินเรื่องลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ลิ่มเลือดเหล่านี้หากไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจก็จะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นการรับประทานช็อกโกแลตดำวันละ 2 ช้อนชาหรือดื่มช็อกโกแลตร้อนวันละ 1 แก้วน่าจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่ต้องไม่ใช่ช็อกโกแลตนมที่มีเนยและน้ำตาลผสมอยู่มากเกินไป (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





ข่าวทั่วไป


หนุนดึงเงินหวยเข้ารัฐ แก้ทัศนคติเงินพนัน

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะอดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์แก้ปัญหาเด็กด้อยโอกาส กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมร่างกฎหมายรองรับรายได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาลเลขท้าย 2 และ 3 ตัว โดยนำรายได้เข้างบประมาณแผ่นดินว่า เป็นเรื่องที่จะแก้ไขปัญหาจุดอ่อนของเงินหวยบนดินได้อย่างถูกจุด เกิดความโปร่งใสในการบริหารเงิน และจะทำให้องค์กรเอกชนที่ทำงานด้านเด็กเกิดความสบายใจและยอมรับความช่วยเหลือจากเงินกองสลาก โดยเฉพาะการนำเงินดังกล่าวไปดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้โดยไม่ผิดหลักศาสนาอีกด้วย อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวอีกว่า ทั้งยังทำให้เด็กทุน 1 อำเภอ 1 ทุน เกิดความรู้สึกที่ดีว่า เงินที่ส่งเสียให้เรียนนั้นเป็นเงินภาษีของประชาชน ไม่ใช่เงินหวย เงินการพนัน ซึ่งน่าจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกรับผิดชอบ และเกิดสำนึกที่ดีต่อสังคม ทำให้เด็กตั้งใจเรียนและนำความรู้กลับมาทดแทนคุณประเทศ อย่างไรก็ตาม ในส่วนการบริหารโครงการ 1 ทุน 1 อำเภอเอง ควรทบทวนสาขาวิชาหรือประเทศที่จะส่งเด็กไปเรียนให้เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาลงทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การส่งเด็กเรียนสาขาการโรงแรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังควรเพิ่มกลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่จะเข้ามารับทุน เช่น กลุ่มเด็กเร่ร่อน เด็กติดเชื้อเอชไอวี หรือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อเอชไอวี เด็กยากจน เด็กที่ถูกละเมิดทางเพศ เด็กชายขอบ เด็กพิการ เป็นต้น (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





ดื่มบัวหิมะช่วยหนูน้อยไม่แพ้อาหาร

บัวหิมะเป็นพืชที่มียีสต์และแบคทีเรียบางชนิดปนอยู่ และใช้นมเลี้ยงให้เติบโต โดยบัวหิมะจะหมักย่อยน้ำตาลในนมเปลี่ยนเป็นลักษณะคล้ายโยเกิร์ต ในขณะที่ยีสต์จะเป็นตัวเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ 0.08-2% ใน 24 ชั่วโมง การรับประทานโยเกิร์ตที่ได้จากบัวหิมะนั้น มีรายงานหลายชิ้นชี้ว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยตัวบัวหิมะเองมีทั้งโปรตีน วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่าย ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย จึงเกิดเป็นกระแสความนิยมในทางตะวันออกของยุโรป ทั้งนี้ เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบร้อยละ 5 ถึง 8 มีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ทางอาหาร ซึ่งหนทางป้องกันหรือแก้ไขสำหรับโรคนี้มีเพียงทางเดียวคือ เมื่อรู้ว่าแพ้อาหารประเภทไหน ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนั้นๆ แต่จากการวิจัยชิ้นนี้พบว่า การรับประทานโยเกิร์ตจากบัวหิมะจะช่วยยับยั้งสารก่อภูมิแพ้ หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า IgE จากการทดลองในหนู ที่ได้กินโยเกิร์ตจากบัวหิมะนั้น พบสารก่อภูมิแพ้ในโปรตีนโอวาลบูมิน ที่พบมากในไข่ขาว และเป็นต้นเหตุในการเกิดโรคภูมิแพ้อาหารในเด็กเล็ก ลดปริมาณลง นักวิจัยกล่าวว่า การทดลองนี้อาจจะนำไปต่อยอดได้ในอนาคต เพื่อคัดแยกส่วนประกอบที่แน่นอนว่าเป็นแบคทีเรียชนิดไหน สามารถลดสารก่อภูมิแพ้ได้มาใส่ลงไปในยา ช่วยป้องกันรักษาโรคภูมิแพ้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ในอังกฤษเสนอว่าควรทดลองเพิ่มเติม ก่อนที่จะนำมาทดลองใช้กับมนุษย์ (คมชัดลึก จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.komchadleuk.net)





ออกเกณฑ์ใหม่ช่วยครูร.ร.เอกชน

นายสำรวม พฤกษ์เสถียร รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน(รก.ผอ.สช.) กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือครูในโรงเรียนเอกชน กรณีเจ็บป่วย และคลอดบุตร ว่า สช.ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียน เอกชน ตามมาตรา 15(1) และ(3) แห่ง พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 โดยให้มีผลบังคับ ใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2549 กำหนดให้ครูโรงเรียนเอกชนซึ่งมีเวลาทำงานมาแล้ว 30 วัน นับตั้ง แต่วันที่ออกเงินสมทบ มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี และให้ใช้สิทธิยื่นขอ เบิกภายในหนึ่งปี นับถัดจากวันที่ปรากฏในใบเสร็จรับเงิน ส่วนกรณี ครูเข้ารับการรักษาพยาบาลใน สถานพยาบาลของทางราชการ ให้เบิกค่ารักษาได้ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด หากเป็นผู้ป่วยภายในของสถานพยาบาลเอกชน ให้เบิกได้เฉพาะกรณีประสบอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือมี ความจำเป็นรีบด่วน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาในทันทีทันใดอาจเป็นอัตรายต่อชีวิต สำหรับในการยื่นขอ เบิกเงินค่ารักษาพยาบาล ให้ครูยื่นใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลหรือขอหนังสือรับรองการมีสิทธิรับเงิน ค่ารักษาพยาบาล พร้อมเอกสารประกอบ ต่อผู้รับใบอนุญาตหรือผู้จัดการ เพื่อตรวจสอบวงเงินและสิทธิ การรับเงินค่ารักษาพยาบาล แล้วให้ลงลายมือชื่อรับรองและประทับตราโรงเรียน เพื่อยื่นต่อกลุ่มงาน กองทุนและสวัสดิการ สช.สำหรับโรงเรียนในส่วนกลาง หรือที่สำนักงานเขตพื้นที่ ส่วนโรงเรียนในภูมิ ภาค กรณีครูถึงแก่กรรม ก่อนยื่นใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล ให้ผู้จัดการมรดก หรือทายาทตามกฎหมาย ลงลายมือชื่อในคำขอหนังสือรับรอง สำหรับบิดา มารดา คู่สมรส และบุตรที่ชอบด้วยกฏหมาย เข้ารับ การรักษาพยาบาลก่อนวันที่ระเบียบมีผลบังคับใช้ ให้ใช้สิทธิเบิกได้จนถึงวันที่ระเบียบมีผลบังคับใช้ โดย ให้ยื่นเบิกให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2549 (แนวหน้า จันทร์ที่ 13 พ.ย. 2549 http://www.naewna.com)





อุณหภูมิความร้อนของโลกสูงขึ้น โลกยิ่งพลอยเป็นโรคกันหนักขึ้น

นายไดอามิด แคมป์เบลล์ เลนดรัม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “ผลจากดินฟ้าอากาศได้ก่อให้เกิดโรคภัยสำคัญๆ ส่วนใหญ่รุมเร้าโลก และอาจจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว” พร้อมกันนั้นนายคริสตี้ แอล เอบบี้ ที่ปรึกษาสาธารณสุขของอเมริกาอีกผู้หนึ่งก็เตือนว่า “การเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศอาจจะบดทำลายบริการสาธารณสุขลงเสีย” นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 องศา เมื่อช่วงศตวรรษก่อน ได้บันดาลให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และอื่นๆ จากควันไอเสียรถ โรงงานต่างๆ และแหล่งเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่างๆ สะสมเพิ่มพูนในชั้นบรรยากาศของโลกกันมากขึ้น ในการศึกษาวิจัยได้พบว่า เพียงแค่อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจเกื้อหนุนให้ยุงเพิ่มปริมาณขึ้นได้ถึง 10 เท่า อย่างที่เป็นอยู่ในเคนยา ได้เกิดโรคไข้จับสั่นระบาดขึ้นตามบริเวณที่ดอนต่างๆหลายแห่ง. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ส่งยานตามล่าดาวเคราะห์แบบโลก เป็นหินและมีขนาดโตใหญ่รุ่นน้อง

องค์การอวกาศสหภาพยุโรปแจ้งว่า จะส่งยานอวกาศที่สร้างขึ้นเพื่อค้นหาดาวเคราะห์แบบโลกของเรา โดยเฉพาะที่อาจมีอยู่ในสุริยจักรวาลอื่นในเดือนหน้านี้ ยานอวกาศของฝรั่งเศสติดกล้องโทรทรรศน์ จะสำรวจหาดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กกว่าที่เห็นกันได้ในปัจจุบัน บางดวงอาจเป็นหินมีขนาดเล็กกว่าโลกของเราตั้ง 2-3 เท่า ไม่ใช่แบบที่เป็นเพียงกลุ่มก๊าซ แม่กองของโครงการฝรั่งเศสนายมันคอล์ม ฟริดลันด์ กล่าวว่า ยานอาจจะพบดาวเคราะห์แบบใหม่กับแบบเก่าขึ้นอีกหลายดวง ซึ่งนักดาราศาสตร์ จะได้ทำการศึกษาทางสถิติ เพื่อจะได้คาดหมายได้ว่าดาวฤกษ์ ดวงหนึ่งจะมีดาวเคราะห์แบบไหนและมากเท่าไหร่เป็นบริวาร “ดาวเคราะห์แบบนั้นเคยพบมีโคจรรอบดาวฤกษ์อื่นนอกจากดวงอาทิตย์ แต่ยังไม่เคยเห็นตัวกัน”. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





ไทยไม่พร้อมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในการอภิปรายเชิงวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ ครั้งที่ 3 เรื่อง คนไทยยอมรับความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมจริงหรือ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นเรื่องของการช่วงชิงความหมายของวัฒนธรรม เพราะคนไทยหลายกลุ่มกำลังสร้างความหมายในวัฒนธรรมของตัวเอง แต่ในทางกลับกันคนไทยก็กำลังดูถูกวัฒนธรรมของตัวเอง และที่สำคัญคือ วัฒนธรรมกำลังกลายเป็นสิ่งที่ครอบงำทางความคิดในสังคม เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เห็นความสำคัญ แต่ถูกบังคับให้มองว่าสำคัญ เช่น เรื่องชาวเขา ที่คนไม่เห็นความสำคัญที่แท้จริงของวัฒนธรรมของชาวเขา แต่เห็นว่าเป็นวัฒนธรรมที่จำเป็น เพราะมีการนำไปดัดแปลงเป็นสินค้าทำให้เกิดรายได้ ด้าน รศ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ปัญหาความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ไทยประสบอยู่ในตอนนี้ คือ ยอมรับวัฒนธรรมต่างชาติมากเกินไป จนทำให้วัฒนธรรมของตัวเองดูด้อยลง กลายเป็นวัฒนธรรมเมียน้อย ดร.เดชา ตั้งสีฟ้า อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ระบอบการปกครองที่จะทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ จะต้องประกอบด้วย 1. ต้องไม่มีศาสนา 2. ต้องมีประชาธิปไตยและ 3. ต้องเป็นสาธารณะ ห้ามขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะจะทำให้ไม่เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะหากรัฐต้องการให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและบอกว่าเปิดเสรีในการนับถือศาสนา แต่รัฐก็อิงไปกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ก็จะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อศาสนาอื่นๆ (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





"ลุงแอ้ด" เยี่ยมค่ายวิทย์ "สานใจไทยสู่ใจใต้" ดีใจได้เดินป่ากับหลานๆ

พล.อ.สุรยุทธ์พบปะให้โอวาทแก่เยาวชนโครงการ "สานใจไทยสู่ใจใต้" ที่กำลังเข้าค่ายอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เด็กๆ เผยประทับใจทีได้เดินป่ากับนายกฯ ขณะที่ลุงนายกฯ อยากให้หลานๆ ช่วยดูแลผืนป่าภาคใต้ให้อุดมสมบูรณ์ ย้ำต่างก็เป็นคนไทยด้วยกันไม่มีการแบ่งแยกความเชื่อทางศาสนา ส่วนเยาวชนก็สัญญาว่าจะนำสิ่งที่ได้จากโครงการไปบอกเล่าแก่ครอบครัวและชุมชนที่บ้านได้ทราบ ในโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้” รุ่นที่ 4 ที่ได้เริ่มกิจกรรมค่ายมาตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.เป็นต้นมา ซึ่งได้พาน้องๆ เยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 90 ชีวิตเรียนรู้สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของครอบครัวมุสลิมในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ โดยสอดแทรกความรู้ ประสบการณ์ ความสนุกสนาน ซึ่งระหว่างวันที่ 14-18 พ.ย.นี้ น้องๆ เยาวชนได้เดินทางไปเข้าร่วมงานค่าย "เปิดโลกการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กับยูบีซี – ทรู – อพวช.” ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ด้วย (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





ส้วมไทยสะอาดปานกลาง อนามัยแก้ปัญหาฟรี 16-18 พ.ย.

น.พ.โสภณ เมฆธน รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงสุขลักษณะห้องส้วมสาธารณะในภาพรวมของประเทศว่า ปัจจุบันห้องส้วมสาธารณะส่วนใหญ่มีความสะอาดในระดับปานกลาง ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นเรื่องกลิ่นเหม็น พื้นเปียก ผนัง ขัน และภาชนะใส่น้ำมีคราบสกปรก "รวมทั้งไม่มีการเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกายหลังการขับถ่าย เช่น กระดาษชำระ สบู่ล้างมือ ตลอดจนพนักงานทำความสะอาดยังไม่ทราบขั้นตอนการทำความสะอาดที่ถูกต้อง หลังขัดห้องส้วมแล้วยังพบคราบและสิ่งปฏิกูลหลงเหลืออยู่ที่โถส้วมและพื้น อาจส่งผลกระทบให้เกิดการระบาดของโรคระบบทางเดินอาหาร" น.พ.โสภณ กล่าว น.พ.โสภณ กล่าวอีกว่า ส้วมที่ไม่สะอาดสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมอนามัยและวัฒนธรรมของผู้ใช้ส้วมจนถึงชุมชน กรมอนามัยจึงร่วมมือกับภาคเอกชน อาทิ บริษัท เครื่องสุขภัณฑ์อเมริกันสแตนดาร์ด จำกัด บริษัท สยามซานิทารีแวร์อินดัสทรี จำกัด บริษัท พีซีเอส จำกัด และบริษัท พรีเมียร์ โปรดักส์ จำกัด เปิดสายสดหมายเลข 0-2504-4920-3 ต่อ 6010-13 ให้คำแนะนำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องส้วม พร้อมรับบริการออกแบบห้องส้วมที่ได้มาตรฐานฟรี ตลอดระยะเวลาการจัดประชุมส้วมโลก วันที่ 16-18 พฤศจิกายนนี้ ที่ห้องนิทรรศการโซฯ 4 ฮอลล์ 9 อิมแพ็ค เมืองทองธานี หรือส่งประเด็นข้อสงสัยทางอีเมล toilet_answer@anamai.moph.go.th ซึ่งทีมงานจะตอบทุกข้อซักถามเรื่องส้วมไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการ ผลิตภัณฑ์ การบำบัดสิ่งปฏิกูล หรือการรักษาความสะอาดเพื่อสุขภาพกายและจิตที่ดีของผู้ใช้และชุมชน (คมชัดลึก ศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215