หัวข้อข่าวปีที่ 7 ฉบับที่ 48 ประจำวันที่ 2006-11-27

ข่าวการศึกษา

"อาร์เอส"จับกระแสแอดมิสชั่นส์ปี"50
"ศธ."พอใจคุณภาพ"ครูต่างชาติ" แนวโน้มเปิดร.ร.สองภาษาเพิ่ม
รมว.ศึกษาธิการสั่งสกอ. เลิกจัดอันดับมหาวิทยาลัย
พระเทพทรงห่วง "หอสมุด"
โละโครงการแจกคอมฯ2.5แสนเครื่อง'วิจิตร'กร้าว ไม่ใช่นโยบายรบ.นี้
นศ.ค้านม.นอกระบบหวั่นคนจนไม่ได้เรียน
'ใจ'นำทีมต่อต้าน ม.ออกนอกระบบ
สทศ.ฟันธงจัดสอบ O-NET ครั้งเดียว
จวกระบบการศึกษาทำเด็กไทยห่างไกลพุทธศาสนา
‘วิจิตร’จี้ สทศ.กุ้ภาพลุยใช้ O-NET ถ่วงผลการเรียน
เผยเกณฑ์ประเมินมหา'ลัยปี 50
จุฬาฯแจงออกนอกระบบ เพื่อเป็นเลิศทาง"วิชาการ"
2 ม.รัฐยันออกนอกระบบดี คล่องตัวขึ้น-ไม่เกี่ยวขึ้นค่าเทอม

ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

รมว.วิทย์เฟ้นคนนั่งบอร์ดเทคโนโลยีชาติ
ซีแพคโชว์รถปูนเล็กคันแรกในโลก
นักวิทยาศาสตร์กระตุ้นไฟฟ้าสมอง ปล่อยวิญญาณลอยออกจากร่างได้
นิทรรศการความฝันหุ่นยนต์เอเชีย
“วิทยาศาสตร์ความอร่อย” ของเด็กน้อยในโลกมืด
ไทยแกนนำพยากรณ์พลังงานเอเปค
อีพีเอออกกฎบังคับผลิตภัณฑ์นาโน

ข่าววิจัย/พัฒนา

ญี่ปุ่นหนุนจับก๊าซโลกร้อนฝังดิน
"มะนาวไร้ดิน" รายแรกในไทย
ฟีโบ้พัฒนาหุ่นยนต์กลิ้งกระโดด
วว.สร้างมาตรฐานอิฐบล็อกไทย
ร่มไฮเทคกางไปดูเว็บไซต์ไป
นักวิจัยยั้วะ วช.กั๊กงบ - เลขาฯ โต้ไม่ทำตามระเบียบเอง
สวทช.โชว์'ชีวภาพ'พืชสวนโลก
สจล.พัฒนาเครื่องชิมรสชาติผลไม้
เครื่องเคลือบเมล็ดพันธุ์ราคาถูก
ไอเสทพัฒนาโซลาร์เซลล์ลูกผสมต้นทุนต่ำ
ท่านั่งตัวตรงกลายเป็นท่านั่งผิดท่า ต้องนั่งให้หลังเอนออกไปเล็กน้อย
หุ่นยนต์ไกด์-รปภ
ทหารมะกันซุ่มฝึกผึ้งน้อยเป็นกองกำลังตรวจระเบิด
เอไอทีโชว์ต้นแบบสู่ "รถอัจฉริยะไร้คนขับ"
บีโอไอชี้เศรษฐกิจไทยรุ่ง ไบโอเทคหวังภาคเอกชนทำ R&D ปีละ 5 พันล้าน

ข่าวทั่วไป

เจ้าชายจิกมีรับปริญญาม.รังสิต แนะเยาวชนยึดในหลวงเป็นแบบ
'รามา' ผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน สำหรับผู้ไม่ สามารถลดน้ำหนักลงได้
“นวัตกรรม” ในห้องเรียนการเกษตร “ราชพฤกษ์ 2549”
ครม.ยกเลิกมาตรการปิดปั๊ม 4 ทุ่ม
‘ไขศรี’ดันสำนักหอสมุดฯเป็นองค์การมหาชน





ข่าวการศึกษา


"อาร์เอส"จับกระแสแอดมิสชั่นส์ปี"50

นายวรพจน์ นิ่มวิจิตร ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานนิว มีเดีย บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โมบี้คลับ ซึ่งให้บริการเนื้อหาบนโทรศัพท์มือถือด้านบันเทิงในเครือบริษัท อาร์เอส ได้เปิดให้บริการติวเตอร์ออนโมบาย เป็นบริการเนื้อหาด้านการศึกษาบนโทรศัพท์มือถือ โดยจะส่งเนื้อหาสรุปผ่านข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ใน 5 รายวิชาที่ใช้ในการทดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต และแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือเอเน็ต ได้แก่ วิชาภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และชีววิทยา เดือนละ 60 ข้อความต่อวิชา เพื่อให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่จะสมัครรับคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือระบบแอดมิสชั่นส์ สามารถจดจำเนื้อหาเพื่อนำไปใช้ในการสอบโอเน็ตและเอเน็ตได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยคิดค่าบริการรายเดือน 39 บาทต่อวิชา นายวรพจน์กล่าวต่อว่า บริการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากอาจารย์สอนพิเศษหรือติวเตอร์ชื่อดังของประเทศมาช่วยสรุปเนื้อหาและหลักสำคัญของวิชาต่างๆ เพื่อส่งเป็นข้อความเอสเอ็มเอสไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการ ได้แก่ นายกิตติวุฒิ เจริญศิริวัฒน์ ติวเตอร์วิชาภาษาไทยและสังคม นายชัชชัย ตั้งธรรม ติวเตอร์วิชาภาษาอังกฤษ นายชัยรัตน์ เจษฎารัตติกร ติวเตอร์วิชาคณิตศาสตร์ และนายเกษม ศรีพงษ์ ติวเตอร์วิชาชีววิทยา โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีนักเรียนเข้ามาใช้บริการราว 2 หมื่นคน จากจำนวนนักเรียน ม.ปลายที่จะสมัครสอบเอ็นทรานซ์ราว 1 แสนคนต่อปี (มติชน พุธที่ 6 ธ.ค. 2549 http://www.matichon.co.th)





"ศธ."พอใจคุณภาพ"ครูต่างชาติ" แนวโน้มเปิดร.ร.สองภาษาเพิ่ม

นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับผู้แทนสมาคมโรงเรียนเอกชนนานาชาติ และโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนในหลักสูตรอิงลิชโปรแกรม หรือโรงเรียนสองภาษา เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติทั้งหมด 108 แห่งทั่วประเทศ มีครูทั้งหมด 2,493 คน และนักเรียน 25,453 คน คิดค่าธรรมเนียมการเรียนระหว่าง 102,000-500,000 บาท โดยมีหลักสูตรการเรียนการสอน 11 ประเภท อาทิ หลักสูตรจากประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ แคนาดา ฝรั่งเศส เกาหลี อินเดีย เยอรมนี และออสเตรเลีย ส่วนโรงเรียนสองภาษาจะใช้หลักสูตรศธ.เป็นตัวกำหนด มีจำนวน 133 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียนทั้งหมด 35,811 คน ครู 3,785 คน แบ่งเป็นครูไทย 2,488 คน ครูต่างชาติ 1,297 คน ทั้งนี้ ผู้แทนสมาคมมีความพอใจกับระบบที่ ศธ.ดูแลอยู่ และคาดว่าจำนวนโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนสองภาษาน่าจะเพิ่มมากขึ้น "ส่วนที่ผ่านมามีกรณีปัญหาเรื่องครูต่างชาติที่เข้ามาสอนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ไม่ได้จบทางด้านการศึกษาโดยตรงนั้นจะมีการตรวจสอบเข้มข้นมากขึ้น แต่จากการสำรวจครูชาวต่างชาติส่วนใหญ่ค่อนข้างมีคุณภาพดี เพราะแต่ละโรงเรียนเองจะต้องมีมาตรฐานและคุณภาพ เนื่องจากต้องได้รับการประเมินคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ด้วย" (มติชน พุธที่ 6 ธ.ค. 2549 http://www.matichon.co.th)





รมว.ศึกษาธิการสั่งสกอ. เลิกจัดอันดับมหาวิทยาลัย

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงนโยบายในการจัดอันดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเมื่อปี 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดำเนินการเป็นครั้งแรกว่า คิดว่า สกอ.ไม่ควรทำ เพราะเป็นหน่วยงานที่ให้คุณให้โทษมหาวิทยาลัย ดังนั้น จึงไม่ควรจะเป็นผู้จัดอันดับเอง เพราะผิดกับหลักการ ควรจะให้หน่วยอิสระที่ไม่มีผลได้ผลเสียในลักษณะให้คุณให้โทษเป็นผู้ดำเนินการ ศ.ดร.วิจิตร กล่าวว่า ตนสนับสนุนให้มีการจัดอันดับ แต่ต้องเป็นหน่วยงานที่ไม่ใช่หน่วยบังคับบัญชาหรือหน่วยที่มีอำนาจให้คุณให้โทษ เช่น ถ้าสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) จะเป็นผู้ดำเนินการก็ทำได้ เนื่องจากมีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะประเมินเอาผลมาใช้พัฒนาคุณภาพไม่ได้มีวัตถุประสงค์จัดอันดับ แต่ถ้าจะให้ สมศ.จัดอันดับก็เชื่อว่าจะทำได้ การที่ สกอ.ต้องมีข้อมูลมหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์ของการวางนโยบาย วางแผนหรือหาทางส่งเสริมสนับสนุนเป็นสิ่งจำเป็นไม่ผิด แต่การที่เอาข้อมูลมาใช้อันดับตรงนี้ตนคิดว่าไม่ควร อย่างไรก็ตาม คงไม่ต้องให้นโยบายกับ สกอ.ในเรื่องนี้ เพราะตนค่อนข้างชัดเจน แต่หาก สกอ.ต้องการหารือก็บอกมาได้ (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





พระเทพทรงห่วง "หอสมุด"

คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงมีกระแสรับสั่งเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ถึงเรื่องหอสมุดแห่งชาติที่มีหนังสือน้อยว่า ปัญหาของหอสมุดแห่งชาติเรื้อรังมานานทั้งหนังสือที่มีน้อย งบประมาณบริหารจำกัด ตลอดจนบุคลากรมีไม่เพียงพอ คุณหญิงไขศรี กล่าวต่อว่า ให้สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรสรุปรายละเอียดปัญหาของหอสมุดแห่งชาติมายัง วธ. เพื่อเร่งหามาตรการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ซึ่งได้รับรายงานว่าในการจัดซื้อหนังสือให้หอสมุดแห่งชาติและหอสมุดประจำจังหวัดทั่วประเทศมีงบเพียง 5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก วธ.จึงได้เสนอของบปี 2550 ในการจัดซื้อหนังสือจากรัฐบาลเป็นปีละ 10 ล้านบาท "ดิฉันตกใจเมื่อรู้ว่างบซื้อหนังสือให้คนอ่านทั้งประเทศได้แค่ปีละ 5 ล้านบาท แม้จะขอเพิ่มเป็น 10 ล้าน โดยเพิ่มอีกเท่าตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงทำให้ วธ.ต้องบริหารการจัดการเลือกซื้อ และจัดลำดับความสำคัญของหนังสือเพื่อให้งบเกิดประโยชน์มากที่สุด จะนำเรื่องการแก้ไขปัญหาหอสมุดแห่งชาติเบื้องต้นขึ้นกราบทูลถวายรายงานแด่สมเด็จพระเทพรัตนฯ ว่า วธ.ได้ดำเนินการเกี่ยวกับงบจัดซื้อหนังสือแล้ว" (คมชัดลึก จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





โละโครงการแจกคอมฯ2.5แสนเครื่อง'วิจิตร'กร้าว ไม่ใช่นโยบายรบ.นี้

ตามที่ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีโครงการจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กราคาถูกให้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตามโรงเรียนในชนบทคนละ 1 เครื่องนั้น ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในแนวทางการปฏิรูปการศึกษา และไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลาการทำงาน 1 ปี จึงจะขอแก้ไขปัญหาเรื่องครูและเด็กก่อน ยังไม่ต้องการหาเทคโนโลยีราคาแพงมาใช้ เพราะในที่สุดจะทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนโครงการจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์ 250,000 เครื่อง ให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ จะยังคงดำเนินการต่อไปหรือไม่ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า คงจะไม่มี เพราะตนต้องการแก้ปัญหาเรื่องเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน และปัญหาหนี้สินครูแล้วจะนำเงินที่ไหนไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการทุนสนับสนุนการศึกษาเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น ปี 2549 หรือทุนวิกฤติเศรษฐกิจ จำนวน 500,000 ทุน จะดำเนินการต่อหรือไม่ ศ.ดร.วิจิตรกล่าวว่า โครงการนกขมิ้นทั้งหลายในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้วไม่ใช่แนวทางของรัฐบาลชุดนี้ และตนจะมองในเรื่องของการดำเนินการที่เป็นกิจจะลักษณะมากกว่า จึงเร่งให้มีการอนุมัติเรื่องเงินอุดหนุนรายหัว เพราะหากได้อัตราเงินอุดหนุนรายหัวเต็มแล้ว เรื่องการจัดสรรทุนการศึกษาต่างๆก็ไม่จำเป็น และเรื่องทุนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในใจตนด้วยซ้ำ ส่วนจะเกิดปัญหาหรือไม่ เนื่องจากได้ทำการรับสมัครไปแล้วนั้น ตนจะขอดูในรายละเอียดก่อน ส่วนโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปว่าจะดำเนินการโรงเรียนในฝันต่อไปหรือไม่ ซึ่งยังต้องรอผลการประเมินก่อน และหากประเมินแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องดีก็จะสนับสนุน และตนอยากขอร้องว่า เมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายใหม่ออกมาแล้วก็ขอให้ประเมินการทำงานในรัฐบาลชุดนี้ตามแนวทางที่ประกาศไว้ อย่านำนโยบายของรัฐบาลชุดเก่ามาเป็นตัววัด เพียงแต่การดำเนินงานต่างๆของรัฐบาลชุดเก่าที่ได้ทำไว้แล้วและเป็นเรื่องดีก็พร้อมสนับสนุนและแก้ไข (ไทยรัฐ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





นศ.ค้านม.นอกระบบหวั่นคนจนไม่ได้เรียน

ภายหลัง ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ได้ประกาศเดินหน้าผลักดันให้มหาวิทยาลัยของรัฐที่เหลือ 21 แห่ง จากทั้งหมด 24 แห่ง แปรสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือ ม.นอกระบบ โดยจะเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มหาวิทยาลัยให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 1 ปี เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในรัฐบาลชุดนี้นั้น วันที่ 28 พฤศจิกายน เวลา 09.00 น. ที่บริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีนิสิต นักศึกษาร่วม 50 คน จาก 5 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (สจพ.) โดยการนำของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) มารวมตัวกัน นำโดย นายนิธิวัต วรรณศิริ นิสิตคณะประมง มก. นายศุภ โกลศะสุต นิสิตคณะรัฐศาสตร์ มก. และนายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.ร. จากนั้นเวลา 10.40 น. ได้เดินทางไปยื่นแถลงการณ์ต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อคัดค้านการแปรรูปมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งคืนอำนาจให้แก่ประชาชน แถลงการณ์ สนนท. ระบุว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันขาดความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ดังนั้น จึงไม่ควรกำหนดนโยบายที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะไม่ควรผลักดันนโยบายแปรรูปการศึกษา เนื่องจากขณะนี้ยังขาดการมีส่วนร่วมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา คณาจารย์ และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งนโยบายดังกล่าวยังก่อให้เกิดข้อสงสัยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และสร้างปัญหากีดกันคนส่วนใหญ่ไม่ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ สนนท.ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องดังกล่าวมาตลอด จึงเรียกร้องให้มีการยกเลิกนโยบายการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ และให้รัฐบาลเร่งคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด (คมชัดลึก พุธที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





'ใจ'นำทีมต่อต้าน ม.ออกนอกระบบ

จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยทักษิณ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่จะนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมนำเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัตินั้น แต่ในส่วนของประชาคมบางส่วนของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ยังมีความเห็นคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบอยู่ โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย. เวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุม 12 ชั้น 2 ตึกเกษม อุทยานนิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ จุฬาฯจากคณะรัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี บุคลากรและนิสิตจุฬาฯ ร่วมกับอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่น ม.บูรพา ม.รามคำแหง ประมาณ 80 คน ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ นายเก่งกิจ กิติเรียงลาภ นิสิตปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐบาลนี้รีบเร่งที่จะนำมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่งออกนอกระบบราชการ ตามแนวทางเศรษฐกิจที่เน้นกลไกตลาด เริ่มจากจุฬาฯ ม.ทักษิณ และอื่นๆอีกกว่า 20 แห่ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลทักษิณ ที่พยายามผลักดันนโยบายกลไกตลาดเหล่านี้ในช่วงที่อยู่ในอำนาจ แต่การผลักดันดังกล่าวของรัฐบาลทักษิณก็ถูกยับยั้งไปอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของประชาชนที่คัดค้านนโยบายนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาโดยตลอด แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันประกาศว่า จะนำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นิสิต คณาจารย์และบุคลากรประชาชนทั่วไปเห็นว่า การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้นเป็นการกระทำที่ไม่มีความชอบธรรม จึงมีความเห็นร่วมกันว่า รัฐบาลต้องยกเลิกการผลักดันมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการโดยทันที ทั้งจะตั้งโต๊ะล่ารายชื่อนิสิต นักศึกษาที่คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และอาจจะใช้มาตรการหยุดเรียน 1 สัปดาห์ หรือเดินขบวนคัดค้าน ด้านนายใจ อึ้งภากรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เพราะต้องการลดค่าใช้จ่ายและไปโยนภาระให้นักศึกษา ทั้งรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ควรมีสิทธิมาตัดสินเรื่องมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ส่วนนายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จุฬาฯ เคยจัดประชาพิจารณ์หลายครั้ง อาจารย์และบุคลากรของจุฬาฯ ร้อยละ 81-90 ไม่ต้องการให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และการที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบจะทำ ให้มหาวิทยาลัยรัฐมีสภาพเป็นธุรกิจทั้งหมด (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





สทศ.ฟันธงจัดสอบ O-NET ครั้งเดียว

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุม คณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติว่า ได้ฝากให้สทศ.เร่งแก้ภาพลักษณ์ที่คนไม่เชื่อถือและไม่มั่นใจ เนื่องจากการจัดทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือ O-NET และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูงหรือ A-NET ประจำปี 2548 มีปัญหา นอกจากนี้ ได้เสนอให้ สทศ.นำผลสอบ O-NET มาถ่วงน้ำหนักผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยน่าจะใช้ในปี 2551 ส่วนน้ำหนักและสัดส่วนนั้น คิดว่าปีแรกอาจจะใช้สัดส่วน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 60 และ O-NET ร้อยละ 40 และในปีต่อไป ใช้สัดส่วน 50:50 ซึ่งเรื่องนี้จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปช่วยกันดูรายละเอียดอีกครั้ง ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผอ.สทศ. กล่าวว่า ที่ประชุม สทศ.มีมติให้จัดสอบ O-NET 1 ครั้งต่อปี และนักเรียนที่มีสิทธิเข้าสอบปีนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่จบปีการศึกษา 2549 หรือผู้ที่จบก่อนปีการศึกษา 2549 แต่ไม่เคยเข้าสอบ O-NET โดยจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1-15 ธ.ค.นี้ โดยสัดส่วนระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษาประจำปีการศึกษา 2550 หรือแอดมิชชั่นยังคงเป็นไปตามสัดส่วนปี 2549 ส่วนแอดมิชชั่นปี 2551 หากพบว่าการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทปอ.อาจเพิ่มสัดส่วนผลการเรียนเฉลี่ยรายกลุ่มสาระ (GPA) และผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (GPAX) ส่วนการใช้ผลสอบ O-NET มาถ่วงค่าน้ำหนักผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียนชั้นม.6 จะใช้ได้ปีการศึกษา 2550 แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะใช้สัดส่วนเท่าไร ต้องหารือกับทาง ทปอ.ต่อไป. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





จวกระบบการศึกษาทำเด็กไทยห่างไกลพุทธศาสนา

คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการ คนรักษ์วัด ว่า โครงการคนรักษ์วัดมีแผนการดำเนินงาน 3 ปี ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2550 โดยต้องการพัฒนาวัดไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งจะขอความร่วมมือจากชุมชน กรรมการวัด ไวยาวัจกร ให้เข้ามามีบทบาทในการร่วมกิจกรรมกับวัด ในลักษณะของอาสาสมัคร เนื่องจากรัฐต้องการให้วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เป็นรูปแบบของความสะอาด และเป็นแหล่งความรู้ที่สร้างสรรค์ โดยในเบื้องต้นจะต้องมีการพัฒนาทางกายภาพของวัด จัดให้เป็นสถานที่สงบร่มรื่น และแก้ไขภาพพจน์ที่ว่า วัดเป็นของพระสงฆ์ เพราะเมื่อประชาชนรอบวัดมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของวัด ก็จะให้ความร่วมมือพระสงฆ์ในการดูแลรักษา ซึ่งจะมีการดำเนินการโครงการนำร่องในกลุ่มวัดทางภาคเหนือจำนวน 30 วัด ในเดือน ม.ค. 2550 และจะมีการประเมินผลการดำเนินงาน 3 เดือน เพื่อรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี ด้านนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต กล่าวว่า ตนมองว่าการที่ทำให้เด็กในปัจจุบันไม่ค่อยสนใจพระพุทธศาสนานั้น มาจากระบบการศึกษาที่ยึดตามหลักตะวันตก ศึกษาจริยธรรมสากล ทำให้เด็กไทยเป็นชาวพุทธแค่ในแง่ของพฤติกรรม จึงอยากให้รัฐบาลกำหนดนโยบายเลยว่า เมื่อเด็กอายุเท่าใดจะต้องเข้าพิธีการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เพราะการที่จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงต้องมีการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เพื่อให้เข้าถึง และเข้าใจหลักพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงพฤติกรรมอย่างในปัจจุบัน. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





‘วิจิตร’จี้ สทศ.กุ้ภาพลุยใช้ O-NET ถ่วงผลการเรียน

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับคณะกรรมการ บริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า ตนได้ขอให้คณะกรรมการบริหาร สทศ. เร่งแก้เรื่องภาพลักษณ์ที่ยังมีคนไม่เชื่อถือและไม่มั่นใจในการทำงานของ สทศ. เนื่องจากปัญหาการจัดทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET และการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ A-NET ประจำปี 2548 ที่ผ่านมา โดยให้ดำเนินการเร่งด่วน เพราะ สทศ. มีหน้าที่ทดสอบจึงต้องมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ โดย สทศ. จะต้องตระหนักถึงบทบาทของตนเอง ยึดเรื่องมาตรฐานอย่างจริงจังและทำให้ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่วงการการศึกษาและประเทศชาติต้องการ เนื่องจากการศึกษายังมีปัญหาเรื่องมาตรฐานและคุณภาพตกต่ำ ถ้าไม่มีเครื่องมือวัดที่ดีคนก็จะไม่นำไปใช้ และยังได้ฝากให้ สทศ.ไปจัดทดสอบเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด ไม่เฉพาะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น เช่น การทดสอบในแต่ละช่วงชั้นว่าจัดการศึกษาไปแล้วผลเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันต้องวัดเพื่อการแนะแนว แนะนำ เกี่ยวกับนักเรียน นักศึกษาด้วย โดยอาจจะมีแบบทดสอบทางจิตวิทยา หรือแม้แต่การสอบเข้ามหา วิทยาลัย ที่ สทศ. ต้องทำข้อสอบให้มหาวิทยาลัย ต่าง ๆ นำไปใช้ได้ นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงการสอบ O-NET ที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ม.ปลาย โดยเห็นว่าควรนำผลสอบ O-NET มาถ่วงน้ำหนักกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพราะจะทำให้สะท้อนผลการเรียนของเด็กอย่างแท้จริง รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาการศึกษาได้ทั้งเรื่องการกวดวิชา, โรงเรียนไม่ได้มาตรฐาน, สามารถนำผลไปใช้ในการเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ทันที และที่สำคัญคนจะเชื่อมั่นและมั่นใจในผลการสอบด้วย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





เผยเกณฑ์ประเมินมหา'ลัยปี 50

.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสมศ. เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบตัวชี้วัดที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสมศ.ได้ร่วมกันกำหนด เพื่อนำมาประเมินผลการปฏิบัติราชการของสถาบันอุดมศึกษาประจำปีงบประมาณ 2550 โดยจะประเมินใน 4 มิติ 23 ตัวชี้วัด ดังนี้ มิติที่ 1 ด้าน ประสิทธิผล วัดจากความสำเร็จตามแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และสถาบันอุดมศึกษา การบรรลุมาตรฐานคุณภาพของสมศ. และการพัฒนาสถาบันสู่ระดับสากล มิติที่ 2 ด้านคุณภาพ วัดจากความพึงพอใจของผู้รับบริการ การประกันภายในที่มีการพัฒนาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และการปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพคณาจารย์ของสถาบัน มิติที่ 3 ด้านประสิทธิภาพ วัดจากความสำเร็จของอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รายจ่ายทุน การประหยัดพลังงานของสถาบัน การลดระยะเวลาของขั้นตอนการปฏิบัติราชการ การจัดทำต้นทุนต่อหน่วยผลผลิต และมิติที่ 4 ด้านคุณภาพ วัดจากการกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัย การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามตรวจสอบผลการทำงาน คุณภาพการพัฒนาบุคลากร จำนวนอาจารย์ประจำที่มีวุฒิปริญญาเอกหรือเทียบเท่า คุณภาพการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านนักศึกษา บุคลากรและหลักสูตรค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการพัฒนาระบบห้องสมุด คอมพิวเตอร์และศูนย์สารสนเทศต่อนักศึกษา การดำเนินการตามแผนจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หลักสูตรที่ได้มาตรฐานต่อหลักสูตรทั้งหมด และประสิทธิภาพของการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ตนได้หารือกับ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. เกี่ยวกับการที่ให้ ก.พ.ร. ประเมินผลมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นด้วย (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





จุฬาฯแจงออกนอกระบบ เพื่อเป็นเลิศทาง"วิชาการ"

วันที่ 4 ธันวาคม เวลา 12.00 น. ศ.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการอธิการบดีออนไลน์ ตอบปัญหาคาใจ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ” หลังประชาคมออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯ ในการปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือออกนอกระบบราชการว่า ถึงออกนอกระบบราชการ แต่ยังเป็นหน่วยงานของรัฐ ได้รับงบประมาณและได้รับการตรวจสอบจากรัฐอยู่ "จุฬาฯ ออกนอกระบบเพื่อความเป็นอิสระ คล่องตัวในการบริหารงาน และบริหารบุคคล เพราะเวลานี้จุฬาฯ แข่งกับมหาวิทยาลัยเอกชนในเรื่องค่าตอบแทนไม่ได้ หากใช้ระบบการบริหารเงินงบประมาณเดิม" อธิการบดีจุฬาฯ กล่าว ปัจจุบันจุฬาฯ ออกนอกระบบครึ่งตัว เพราะไม่รับข้าราชการใหม่ตั้งแต่ปี 2542 อีกทั้งสภาพการณ์ในปี 2549 กับเมื่อปี 2541 ต่างกันลิบลับ ส่วนที่กังวลว่าออกนอกระบบแล้วจะขายให้เอกชน เพื่อสร้างรายได้นั้น ขอยืนยันว่า การออกนอกระบบเพื่อพัฒนาความเป็นเลิศทางวิชาการ ไม่ใช่เพื่อสร้างความร่ำรวย หรือสร้างอำนาจ “จุฬาฯ สำนึกในปณิธานรัชกาลที่ 5 องค์สถาปนามหาวิทยาลัย และเวลานี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ เราต้องวิ่งแข่งระดับนานาชาติ ไม่ใช่แค่ในประเทศ เราทำเพื่อยุคหน้า ถ้าเป็นแบบเดิม แค่อยู่ร่วมกันเรายังอยู่ไม่ได้เลย ยืนยันว่าไม่ละเลยธรรมาธิบาลและการถูกตรวจสอบทุกอย่างเปิดกว้าง ขอให้ดูรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ในเวบไซต์ www.chula.ac.th ที่มีช่องให้แสดงความคิดเห็นเพื่อเสนอปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป อย่าเอาแต่หลับฝันถึง พ.ร.บ.ปี 42-43” (คมชัดลึก พุธที่ 6 ธ.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





2 ม.รัฐยันออกนอกระบบดี คล่องตัวขึ้น-ไม่เกี่ยวขึ้นค่าเทอม

ตามที่นิสิตนักศึกษาหลายสถาบันได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ เนื่องจากเกรงว่าค่าเล่าเรียนจะแพงขึ้นนั้น รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) กล่าวว่า การออกนอกระบบนั้นไม่ว่าจะออกนอกระบบตั้งแต่แรกหรือเปลี่ยนสถานะจากระบบราชการไปเป็นนอกระบบมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพื่อมีความคล่องตัวในการทำงาน มีอิสระที่จะคิดริเริ่มสิ่งต่างๆนอกกรอบที่หาอยู่ในระบบไม่เคยทำได้ "แต่สภามหาวิทยาลัยจะต้องเข้มแข็งช่วยประคับประคอง นโยบาย สนับสนุน และมีภาวะผู้นำอย่างสูง ทั้งอธิการบดีต้องมีความโปร่งใส และรับการตรวจสอบจากภายนอกได้ โดยต้องมีกฎเกณฑ์และเขียนไว้ในกฎหมายที่ชัดเจนว่า การจัดองค์กร การบริหารจัดการควรเป็นรูปแบบใด เพื่อความอุ่นใจของประชาคมมหาวิทยาลัย ส่วนออกนอกระบบแล้วต้องขึ้นค่าเล่าเรียนนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะรัฐยังสนับสนุนงบประมาณอยู่ ทั้งเรื่องที่เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการบริหารจัดการจากอธิการบดีนั้นก็ไม่ใช่เช่นกัน แต่ละมหาวิทยาลัยต้องเขียนกฎหมายให้รัดกุม รวมทั้งออกนอกระบบแล้วต้องเลี้ยงตัวเองและหาเงินเองทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด" รศ.ดร.ไกรวุฒิ เกียรติโกมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า มจธ.ออกนอกระบบมาตั้งแต่ปี 2541 ได้ปรับระบบการบริหารภายในมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยไม่มีปัญหาอะไร การบริหารมีอิสระ และคล่องตัว จะติดปัญหาอยู่บ้างตรงที่รัฐบาลไม่มีนโยบายที่ชัดเจนดูแลมหาวิทยาลัยที่แม้ออกนอกระบบไปแล้ว แต่ยังเป็นมหาวิทยาลัยรัฐอยู่ เช่น การยกเว้นภาษีรถยนต์ การปรับฐานเงินเดือนให้แก่บุคลากร ขณะที่ข้าราชการได้ปรับขึ้นหลายครั้งจนจะทำให้ข้าราชการเงินเดือนสูงกว่าแล้ว จึงขอฝากรัฐบาลหากเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการ ขอให้รวมถึงบุคลากรมหาวิทยาลัยออกนอกระบบด้วยและจัดสรรงบให้เพียงพอ ไม่ต้องให้ทวง "การขึ้นค่าเทอมไม่ได้อยู่ที่ว่าจะออกนอกระบบหรือไม่ แต่ขึ้นกับการสนับสนุนของรัฐบาล หากรัฐบาลสนับสนุนอย่างเพียงพอก็ไม่ต้องขึ้น ส่วน มจธ.ตั้งแต่ออกนอกระบบมีการปรับค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงค่าเล่าเรียน ซึ่งไม่ได้มากจนเกินไปและก็ไม่มีเสียงคัดค้านจากนักศึกษา" (คมชัดลึก พุธที่ 6 ธ.ค. 2549 http://www.komchadluek.net)





ข่าววิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี


รมว.วิทย์เฟ้นคนนั่งบอร์ดเทคโนโลยีชาติ

ศ.ดร. ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีวัสดุแห่งชาติ ที่จัดทำโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว และถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับบทบาทการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างความสามารถให้กับประเทศ รัฐบาลชุดที่ผ่านมาต่างมุ่งทุ่มงบประมาณส่วนใหญ่ ไปกับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ห่างไกล และนำเข้าเครื่องจักรกล ในลักษณะของการกระจายงบลงทุน และกระจายความสามารถไปยังพื้นที่เป้าหมาย มากกว่าการสร้างงานวิจัยและพัฒนาขึ้นเอง ขณะที่แผนยุทธศาสตร์ใหม่ดังกล่าว เป็นแผนระยะยาว 10 ปี (2550-2559) มุ่งสร้างงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและวัสดุ เพื่อสนับสนุน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ การเกษตร สาธารณสุข การแพทย์ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แฟชั่นและพลังงาน อุตสาหกรรมที่โดดเด่นสุดใน 7 กลุ่มนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมอัญมณี เพราะมีมูลค่าสูงและไทยมีความได้เปรียบด้านฝีมือ จึงจำเป็นต้องพัฒนามาตรฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมดังกล่าว ถัดมาคืออุตสาหกรรมวัสดุทางการแพทย์ ที่ศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง (เอดเทค) ในสังกัดศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กำลังวิจัยเกี่ยวกับรากฟันเทียมให้มีศักยภาพด้านการแข่งขัน เนื่องจากใช้วัตถุดิบภายในประเทศ จึงราคาถูก "ในส่วนอุตสาหกรรมแฟชั่น ที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลทักษิณก็ยังคงต้องสานต่อ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพัฒนาวัสดุใหม่ให้ธุรกิจสิ่งทอ โดยนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงเส้นใย ทั้งนี้ แผนพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนี้ แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทและความสำคัญ กับภาคอุตสาหรรมในรัฐบาลชุดนี้มากขึ้น" (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ซีแพคโชว์รถปูนเล็กคันแรกในโลก

นายปรัชญา ไอศูรย์ธนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการกิจการซีแพค ภาคเหนือ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้นำนวัตกรรมระบบติดตามสถานะผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) มาติดตั้งใช้งานกับรถโม่ของซีแพคทุกคันในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ถือเป็นรายแรกของภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการจัดส่งคอนกรีต ดังนั้น ในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ซีแพคจึงเซ็นสัญญากับบริษัท ดี.ที.ซี.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ที่จะสนับสนุนอุปกรณ์จีพีเอสและการบริการให้แก่ซีแพค พร้อมทั้งสาธิตระบบการทำงานด้วย ขณะเดียวกันจะเปิดตัว "รถโม่เล็กซีแพค " ขนาด 4-6 ล้อ เป็นครั้งแรก โดยรองรับคอนกรีตได้ประมาณคันละ 1-2 ลูกบาศก์เมตร ขณะที่รถโม่ซีแพคใหญ่รองรับได้คันละ 5-7 ลูกบาศก์เมตร จึงถือเป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งของบริษัท สำหรับบริการงานก่อสร้างขนาดเล็ก หรือพื้นที่ทางเข้าคับแคบ และลดมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนด้วย ทั้งนี้ ซีแพค ได้สำรวจความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในงานก่อสร้างขนาดเล็กเกี่ยวกับการใช้บริการรถโม่คอนกรีต พบว่า ขนาดการบรรทุกของรถโม่ใหญ่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า อีกทั้งขนาดของรถโม่ที่ใหญ่เกินไปทำให้บริการเข้าไม่ถึงพื้นที่ที่มีขนาดจำกัด ด้วยเหตุนี้จึงได้คิดค้นรถโม่คอนกรีตขนาดเล็กขึ้น และถือเป็นรถโม่เล็กที่มีการผลิตขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลก ที่มีการผลิตรถสำหรับจัดส่งเครื่องผสมคอนกรีตหรือมอร์ต้า (ปูนผสมทราย) โดยได้รับสิทธิบัตรเลขที่ 19083 เมื่อปีที่ผ่านมา คอนกรีตเป็นสินค้าผลิตพร้อมใช้ ต้องใช้งานภายใน 2 ชั่วโมง บริษัทจึงพัฒนาระบบควบคุมการผลิตโรงงานเครือข่าย โดยใช้โปรแกรม CPAC Regional Dispatching System ที่จะควบคุมระบบการผลิตและจัดส่งในรัศมีที่กำหนด ผ่านทางศูนย์รับจ่ายเพียงแห่งเดียว ถือเป็นโปรแกรมสมองกลที่บริษัทนำมาใช้ เพื่อความสะดวกต่อการบริหารจัดการ จากที่ผ่านมาเคยนำระบบดังกล่าวมานำร่องทดลองใช้ในจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ มีโรงงานคอนกรีตซีแพคในเครือข่าย 9 โรงงาน ระบบถูกออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา การทำงานเป็นระบบ Computerlize Control ซึ่งประมวลผลทั้งแบบรายโรงงานและกลุ่มโรงงาน เป็นแบบเรียลไทม์ แสดงผลเป็นกราฟ จึงง่ายต่อการวางแผนการทำงาน และตัดสินใจแจ้งสถานะสินค้าให้ลูกค้าทราบได้ตลอดเวลา (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





นักวิทยาศาสตร์กระตุ้นไฟฟ้าสมอง ปล่อยวิญญาณลอยออกจากร่างได้

แพทย์ประสาทวิทยา หมอโอลาฟ แบลงเก้ และมาร์กิตตา ซีกค์ ได้ร่วมกันแจ้งว่า สังเกตพบปรากฏการณ์นั้น ระหว่างการทดลองเพื่อหาหนทางรักษาคนไข้โรคลมบ้าหมูชนิดร้ายแรง ด้วยการใช้การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ตรงบริเวณสำคัญของสมองใกล้แถบขมับ ปรากฏว่ามันไปปิดกั้นการรับรู้ของจิตใจที่มีต่อร่างกายลง แล้วไปก่อให้เกิดภาพของตัวตนขึ้นในสมอง หากแต่เป็นภาพปรากฏอยู่นอกกาย เหมือนกับอยู่ใต้ร่างกายที่นอนอยู่ หรือไม่ก็อยู่ด้านหลังของเจ้าของตัว หมอมาร์กิตตาแห่งสถาบันประสาทวิทยาที่วิทยาลัยเทคนิคสมาพันธรัฐสวิส ที่เมืองโลซานน์ เล่าว่า “ในการทดลอง 2 หนแรก คนไข้ยังจำรูปร่างของตนเองได้ แต่พอหลังๆ เข้า กลับมีความรู้สึกว่า ไม่ใช่รูปกายของตน หากแต่เป็นรูปร่างอันน่าหวั่นหวาด สะพรึงกลัว” (ไทยรัฐ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





นิทรรศการความฝันหุ่นยนต์เอเชีย

นักประดิษฐ์คิดค้นขนหุ่นยนต์หลากหลายแบบ มาแสดงในงานนิทรรศการโชว์หุ่นยนต์แห่งเอเชียเพียบ ทั้งหุ่นยนต์ถอดแบบหน้ามนุษย์ และหุ่นยนต์หน้าตาประหลาด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในงานนิทรรศการความฝันหุ่นยนต์ของเอเชีย หรือ Asia Robot Dream Exhibition มีผู้นำหุ่นยนต์มาร่วมแสดงในงานมากมาย อาทิ หุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์ “Actroid DER” ที่ดูผิวเผินแทบแยกไม่ออกว่าเป็นหุ่นยนต์หรือมนุษย์สาวสวยที่มีเลือดเนื้อ และหุ่นยนต์เลียนแบบมนุษย์ที่ดูยังไงก็คือ หุ่นยนต์ “Computer Robot Band”รวมทั้งหุ่นยนต์ที่หน้าตาประหลาดสุด ๆ “Talk Host” ที่มีโครงหน้ามนุษย์และฟันเต็มปาก รายงานข่าวระบุว่า นิทรรศการดังกล่าวจัดแสดงอยู่ที่ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแหล่งช้อปปิ้งของฮ่องกง มีประชาชนสนใจมาดูนิทรรศการเป็นจำนวนมาก (เดลินิวส์ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





“วิทยาศาสตร์ความอร่อย” ของเด็กน้อยในโลกมืด

“ค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนตาบอดครั้งที่ 2” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-25 พ.ย.นี้ ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้จัดกิจกรรมให้เยาวชนผู้พิการทางสายตาในระดับมัธยมต้น 23 คนได้ทดลองทำช็อกโกแลตและเรียนรู้การรับรสของลิ้น โดยนอกจากการชิมช็อกโกแลตฝีมือตัวเองแล้ว เด็กๆ จะทดสอบรสชาติต่างๆ ด้วย จากนั้นก็ให้แต่ละคนระบุว่ารสชาติแต่ละอย่างที่ชิมไปนั้นรับรู้ได้ที่ส่วนไหนของลิ้น ทั้งนี้พี่เลี้ยงได้นำผงโกโก้ น้ำตาลไอซิ่ง และ น้ำรสชาติต่างๆ ทั้งขม เค็ม เปรี้ยวมาให้ลองชิม ขณะเดียวกันก็ให้แผ่นกระดาษที่จำลองเป็นรูปลิ้นไว้สำหรับแปะกระดาษที่แทนรสชาติต่างๆ โดยมีอักษรกำกับไว้ ที่ผ่านมาเราอาจจะติดกับภาพ “แผนที่ลิ้น” ว่ารสหวานมีปุ่มสัมผัสที่ปลายลิ้น รสเค็มมีปุ่มรับรสที่ขอบลิ้น รสเปรี้ยวมีปุ่มรับรสที่ขอบกลางๆ ลิ้น และรสขมที่โคนลิ้น แต่ในค่ายนี้ได้ให้ข้อมูลใหม่แก่เด็กๆ ว่า เป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดเพราะปุ่มรับรสมีพื้นที่ไม่จำเพาะ และจะแพร่กระจายทั่วลิ้นมากกว่า 1 จุด ทั้งนี้เป็นความรู้ใหม่จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารไซแอนทิฟิก อเมริกัน (Scientific American) เมื่อปี 2544 นอกจากนี้การรับสัมผัสรสชาติยังขึ้นอยู่กับการรับกลิ่นด้วย ซึ่งทำให้เราจดจำกลิ่นได้ดีขึ้น ดังนั้นเมื่อเป็นหวัดและการรับกลิ่นเพี้ยนไปจะทำให้การรับรสชาติเปลี่ยนไปด้วย (ผู้จัดการ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





ไทยแกนนำพยากรณ์พลังงานเอเปค

รศ.ดร.ปริทรรศน์ พันธุบรรยงก์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ร่วมกันเป็นแกนนำ 15 ประเทศในภูมิภาค เพื่อกำหนดแนวโน้มพลังงานทดแทนระดับภูมิภาค เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีทันสมัย ขณะที่ประเทศไทยมีการวิจัยพัฒนาด้านชีวมวล และประยุกต์ใช้งานมากสุด โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากศูนย์คาดการณ์เทคโนโลยีเอเปค สวทช. ข้อกำหนดแนวโน้มพลังงานทดแทนที่ได้ จะนำเสนอต่อที่ประชุมพลังงานชีวมวลหรือไบโอแมสปี 2550 ที่ประเทศมาเลเซีย ส่วนความคืบหน้าของฝ่ายไทย ขณะนี้เอ็มเทคกำลังศึกษาในภาพรวมพลังงานทดแทนทั้งประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จอีก 2 ปี ซึ่งน่าจะทันเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ เพื่อกำหนดเป็นทิศทางนโยบายพลังงานของประเทศต่อไป ปัจจุบันเอ็มเทคได้ดำเนินโครงการ Strategic Planning Alliance : SPA เพื่อเชื่อมโยงงานวิจัยด้านพลังงานกับประเทศเครือข่าย โดยได้รับความร่วมมือจาก สวทช. และมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ศูนย์วิจัยการเผากากของเสีย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (สจพ.) กลุ่มวิจัยเชื้อเพลิงการเผาไหม้และการควบคุมมลพิษ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และศูนย์วิจัยพลังงานยั่งยืน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร โครงการแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วนคือ วิจัยค้นหาเชื้อเพลิงชีวมวลใหม่ และการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการนำไปใช้จริง สำหรับเชื้อเพลิงทางเลือกที่น่าสนใจในขณะนี้คือเชื้อเพลิงจากขยะมูลฝอย สจพ. และเชื้อเพลิงจากของเสียในโรงงานแป้งมัน ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





อีพีเอออกกฎบังคับผลิตภัณฑ์นาโน

สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (อีพีเอ) รับรองกฎระเบียบใหม่บังคับผู้ผลิตสินค้า แจงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีไม่เป็นอันตรายต่อแม่น้ำลำธาร และสุขภาพประชาชน ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่อาศัยคุณสมบัติพิเศษของอนุภาคสารที่มีขนาดเล็กจิ๋วที่เรียกว่านาโนเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เช่น ครีมกันแดดเนื้อละเอียดมากช่วยให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังลงไปถึงชั้นผิวข้างล่างทำให้ผิวชุ่มชื้น และไม่ทิ้งคราบรอยขาวไว้บนผิวหนัง หรือครีมบำรุงผิวที่สามารถซึมลึกลงไปถึงผิวชั้นล่างที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังมีสีทาบ้านที่ผสมอนุภาคเงินขนาดนาโน หรือที่เรียกว่านาโนซิลเวอร์ รวมทั้งเสื้อผ้า และอุตสาหกรรมสิ่งทอต่างๆ เริ่มนิยมนำซิลเวอร์นาโนมาเคลือบเพื่ออาศัยคุณสมบัติของอนุภาคเงินกำจัดเชื้อแบคทีเรียโดยทำปฏิกิริยากับแสงแดด ซิลเวอร์นาโนเป็นสารที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคที่นำมาใช้กับพื้นรองเท้า บรรจุภัณฑ์อาหาร เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากการเก็บข้อมูลโดยโครงการติดตามนาโนเทคโนโลยีพบว่ามีสินค้าที่ใช้อนุภาคเงินขนาดจิ๋วถึง 200 ผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและต่อสิ่งแวดล้อม สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (อีพีเอ) ได้เดินเรื่องเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่ใช้นาโนเทคโนโลยียื่นขอรับรองความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะวางตลาด บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องจัดหาหลักฐานที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์นาโนซิลเวอร์มีความปลอดภัยทั้งต่อมนุษย์และแม่น้ำลำคลอง นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมแสดงความวิตกว่า ผลิตภัณฑ์ที่เคลือบอนุภาคขนาดเล็ก เมื่อหมดประโยชน์ใช้สอยและกลายเป็นขยะ อาจทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อม จุลินทรีย์ในน้ำ และอาจส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์ได้ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ข่าววิจัย/พัฒนา


ญี่ปุ่นหนุนจับก๊าซโลกร้อนฝังดิน

ศ.ดร.โยอิชิ คายะ จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อโลก ( RITE ) ประเทศญี่ปุ่น ได้เสนอเทคโนโลยีใหม่เพื่อลดการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากก๊าซธรรมชาติที่เป็นมีเทน ก่อนที่จะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าสะอาด "ก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ที่แยกจากก๊าซธรรมชาติจะถูกนำมาเก็บไว้ในภาชนะบรรจุแล้วนำไปเก็บไว้ใต้ดิน จากนั้นจะนำไปฝังไว้ใต้ดินที่ระดับความลึก 1,000 เมตร โดยสามารถใช้บ่อน้ำมันที่หมดแล้วเป็นที่เก็บ" นักวิชาการญี่ปุ่น กล่าวในการประชุมวิชาการนานาชาติด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน 2006 โดยมีบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) และมหาวิทยาลัยเกียวโต ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโตยังได้กล่าวถึงเทคโนโลยีอนาคตโดยใช้ดาวเทียมโซลาร์เซลล์โคจรอยู่นอกโลกเพื่อรับพลังงานแสงอาทิตย์แล้วยิงเป็นลำแสงเลเซอร์หรือไมโครเวฟมายังโลก แม้แนวทางดังกล่าวต้องใช้ต้นทุนสูงมาก แต่ควรได้รับการส่งเสริมเพื่อให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลง อูเว ฟริสเช นักวิจัยจากสถาบันโอเอโก เยอรมนี ได้เสนอรายงานการวิจัยเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตพลังงานด้วยทรัพยากรต่างๆ โดยกล่าวว่า แอลกอฮอล์ที่ได้จากชีวมวลเป็นพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพ และยังเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับหลายประเทศในการส่งออกเชื้อเพลิงชีวมวลไปยังต่างประเทศ ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการนโยบายสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า ในราว 10-15 ปีข้างหน้า ไทยอาจจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขณะเดียวกัน มีความจำเป็นต้องพัฒนาวิศวกรด้านนิวเคลียร์ และนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพื่อจัดการปัญหาขยะนิวเคลียร์ นักวิชาการไทยยังได้กล่าวถึงพลังงานหมุนเวียนอย่างเช่น พลังงานลม โดยชี้ว่าแนวชายฝั่งทะเลของไทยเหมาะสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ใช้เสาความสูง 50 เมตร นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนาไม้โตเร็วอย่างเช่น ยูคาลิปตัส แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับชุมชนที่ห่างไกล (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





"มะนาวไร้ดิน" รายแรกในไทย

นายทรงยศ ยงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ประถมชัย ไฮโดรเทค จำกัด จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการปลูกมะนาวระบบไฮโดรโปรนิก หรือปลูกโดยไม่ใช้ดิน จากที่ผ่านมาเป็นเพียงการปลูกไม้ใบ เช่น ผักสลัด เท่านั้น จึงถือเป็นรายแรกในประเทศที่ปลูกไม้ผลด้วยระบบดังกล่าว และแสดงให้เห็นว่าไม้ผล เช่น มะนาว มะเฟือง ส้ม ลำไย ก็สามารถปลูกด้วยวิธีนี้ได้เช่นเดียวกัน บริษัทได้ทดลองปลูกมะนาวไร้ดินได้ประมาณ 5 เดือน จากการทดสอบปรากฏว่าขนาดและรสชาติ ไม่แตกต่างจากมะนาวทั่วไป ความคืบหน้าขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงการทดลอง และต้องเก็บสถิติข้อมูลให้ครบทุกด้าน ทั้งจำนวนผลผลิต ค่าใช้จ่ายและวิธีการดูแลรักษา อย่างไรก็ตาม บริษัทได้นำต้นมะนาวไร้ดิน ร่วมจัดแสดงใน "มหกรรมพืชสวนโลก" จังหวัดเชียงใหม่ ที่จัดระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายนถึง 31 มกราคมปีหน้า การปลูกมะนาวด้วยระบบไฮโดรโปรนิกนั้น การดูแลรักษาจะต้องเอาใจใส่มากกว่าไม้ใบ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการปลูกสั้นกว่าไม้ผล จะต้องดูแลการให้ปุ๋ยและศัตรูพืช อีกทั้งควรคำนึงถึงทิศทางการวางของต้น เพราะหากมีการเจริญเติบโตแล้ว ไม้ผลจะเคลื่อนย้ายได้ยาก ส่วนโรงเรือนต้องสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระดับ 35-40 องศาเซลเซียส แสงแดดส่องไม่ถึงเพื่อป้องกันตะไคร้น้ำเกาะที่ราก ทำให้การดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่เต็มที่ "น้ำที่ใช้ในการปลูกต้องเป็นน้ำกลั่น เพื่อความสะดวกในการควบคุมปริมาณสารอาหารที่เติมลงในน้ำ และต้องเติมออกซิเจนตลอดเวลาด้วยเครื่องผลิตออกซิเจนที่ใช้กับตู้ปลา หากไม่มีออกซิเจนเลี้ยงรากอาจทำให้รากเน่าได้ ขณะที่สารอาหารประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืช เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียมและแมงกานีส โดยจะเติมสารอาหาร 2 สัปดาห์ต่อครั้ง และค่าสารอาหารประมาณครั้งละไม่เกิน 20 บาท " (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ฟีโบ้พัฒนาหุ่นยนต์กลิ้งกระโดด

นายจตุรนต์พลวิชัย นักศึกษาจากสถาบันวิชาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ฟีโบ้ต้องการศึกษาและพัฒนาหุ่นยนต์หลากรูปแบบ เพื่อนำมาใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการออกแบบหุ่นยนต์เพื่อใช้ในงานต่างๆ อาทิ หุ่นยนต์เสมือนคน หรือแม้แต่หุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนหุ่นยนต์ลูกฟุตบอลซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่ได้ด้วยการกลิ้งหรือการกระโดด เพื่อศึกษาพลศาสตร์ของหุ่นยนต์ทรงกลม และจะช่วยในการพัฒนาหุ่นยนต์ชนิดอื่นๆ ต่อไปได้ในอนาคต ผลที่ได้จากการศึกษาในเบื้องต้นพบว่าหุ่นยนต์ทรงกลมเคลื่อนที่ด้วยการกลิ้งและกระโดด จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกบอลทั่วไป โดยการเคลื่อนที่แบบกลิ้งเกิดจากหลักการเปลี่ยนแปลงจุดศูนย์ถ่วง และการเคลื่อนที่แบบกระโดดมาจากการใช้กลไกสปริง ซึ่งจากการสำรวจหุ่นยนต์ทรงกลมที่พัฒนากันในปัจจุบันได้ออกแบบกลไกการกลิ้งและกระโดดแยกออกจากกัน เนื่องจากติดปัญหาในการออกแบบกลไกที่ซับซ้อน จึงทำให้ประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ลักษณะนี้ลงไปจากเดิม ทีมวิจัยซึ่งมี ดร.ถวิดา มณีวรรณ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการได้ศึกษาวิเคราะห์ระบบพลศาสตร์ในเชิงลึกของลูกบอลทรงกลม เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาสร้างเป็นแบบจำลองเพื่อใช้ในการออกแบบหุ่นยนต์ลูกบอล โดยหุ่นยนต์ต้นแบบที่ได้ ประกอบด้วยกลไกที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่แบบกลิ้งและแบบกระโดดอยู่ในแนวเดียวกัน รวมทั้งสิ้น 6 แกน "หลักการทำงานของกลไกที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่แบบกลิ้ง ที่ทีมวิจัยใช้คือ ออกแบบการเคลื่อนที่ของตุ้มน้ำหนักภายในตัวหุ่น ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของมวลหุ่นยนต์เปลี่ยนไปตามตำแหน่งที่ต้องการให้เคลื่อนที่ไป ส่วนการกระโดดทำได้โดยใช้สปริงในการผลักให้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ โดยหุ่นยนต์ตัวต้นแบบพัฒนาให้มีจุดกระโดดด้วยกันถึง 6 จุด" นอกจากนี้หุ่นยนต์ดังกล่าวได้ติดตั้งเซ็นเซอร์วัดสถานะมุมหมุนของตัวหุ่นและใช้ชุดควบคุมระยะไกลเพื่อกำหนดเส้นทางการเดิน ซึ่งต้นแบบดังกล่าวจะต้องพัฒนาให้สามารถควบคุมและเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ตลอดจนทดสอบการใช้งานเพื่อวิเคราะห์ข้อผิดพลาด และแก้ไขต่อไป โดยหากทีมวิจัยสามารถเชื่อมโยงระบบการกลิ้งและกระโดดให้สัมพันธ์กันได้มากเท่าไร ก็จะสามารถพัฒนาหุ่นยนต์ทรงกลมประสิทธิภาพสูงได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งความรู้ที่ได้จากการพัฒนาจะนำไปใช้ประโยชน์กับงานพัฒนาหุ่นยนต์ชนิดอื่นๆ ได้ในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





วว.สร้างมาตรฐานอิฐบล็อกไทย

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กล่าวว่า วว.ลงนามความร่วมมือระยะ 2 ปีกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร สำหรับโครงการวิจัยทดสอบและพัฒนาบล็อกประสาน วว. ในเชิงวิศวกรรม เพื่อผลักดันให้เกิดข้อบัญญัติหรือการรับรองมาตรฐาน โดย วว. รวมทั้งแลกเปลี่ยนอุปกรณ์และความรู้ระหว่างองค์กร ในการพัฒนาคุณภาพบล็อกประสานให้มีความน่าเชื่อถือ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจบล็อกประสานในไทย "ปัจจุบันโรงงานผลิตบล็อกประสานกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคกว่า 550 โรงงาน หรือเพิ่มขึ้น 40% ในระยะเวลา 5 ปี และน่าจะมีจุดอิ่มตัวที่ประมาณ 1 , 900 โรงงานทั่วประเทศ เนื่องจากบล็อกประสานได้รับความนิยมจากสถาปนิก ผู้ประกอบการและเจ้าของบ้าน ในเรื่องของราคาถูก ผลิตง่ายเพราะวัตถุดิบที่หาง่ายเป็นส่วนผสม เช่น ดิน ซีเมนต์ น้ำสะอาด ทรายละเอียด อีกทั้งมีสีสวยเหมือนธรรมชาติ และยังสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 21.8 กิโลกรัมต่อบล็อก 1 ก้อน" นายวิทยา วุฒิจำนง ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ วว. กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพบล็อกประสานคือ ผู้ผลิตกว่า 550 โรงงาน ที่ต่างเร่งผลิตสินค้าให้ทันกับความต้องการตลาด ที่นิยมนำไปก่อสร้างบ้านเดี่ยว โครงการจัดสรร รีสอร์ท ที่ส่วนมากเป็นอาคารสูงไม่เกิน 2 ชั้น กระทั่งขาดการคำนึงถึงมาตรฐานความแข็งแกร่งของปล็อกประสาน (กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ร่มไฮเทคกางไปดูเว็บไซต์ไป

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นักศึกษาระดับปริญญาเอกมหาวิทยาลัยเคย์โอะ (Keio University) โชว์ร่ม “พิเลอุส (Pileus)” ในงานแสดงเทคโนโลยีขั้นสูงของมหาวิทยาลัยเคย์ โอะในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรายงานข่าวระบุว่า จุดประสงค์ที่คิดค้นร่มดังกล่าวขึ้นเพื่อแก้เบื่อเวลาฝนตก โดยผ้าของร่มทำหน้าที่คล้ายฉากรับภาพจากเครื่องโปรเจคเตอร์ ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกดูภาพหรือชมเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตขณะใช้ร่มบังฝนได้ สำหรับหลักการทำงานของร่มพิเลอุส ผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดไฟล์ภาพหรือไฟล์ข้อมูลอื่นที่ต้องการมาเก็บไว้ในโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กที่ติดตั้งไว้บริเวณก้านร่ม ซึ่งสามารถดูเว็บไซต์ต่าง ๆ ผ่านการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต และดูภาพในไฟล์ที่เก็บไว้ได้ (เดลินิวส์ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.dailynews.co.th)





นักวิจัยยั้วะ วช.กั๊กงบ - เลขาฯ โต้ไม่ทำตามระเบียบเอง

จากกรณีการร้องเรียนถึงการบริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความล่าช้า และเกิดความไม่โปร่งใสในการเบิกจ่ายงบประมาณอุดหนุนการวิจัยในโครงการวิจัยต่อเนื่อง “โครงการวิจัยบูรณการ” ระหว่างปี 2548-2550 ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่มี ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการ ที่ล่าสุดได้มีการยื่นจดหมายร้องเรียนจากนักวิจัยที่ได้รับผลกระทบกว่า 30 ฉบับ ผ่านหน้าห้องไปยัง ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแล วช.เมื่อวันศุกร์ที่ (24 พ.ย.) และคาดกันว่าจะมีการยื่นจดหมายเปิดผนึกไปยัง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 2 ภายในสัปดาห์นี้ นักวิจัยผู้รวบรวมจดหมายไปยื่นต่อหน้าห้องของ ดร.ธีรภัทร์ เผยว่า ปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณอุดหนุนดังกล่าว และการขาดประสิทธิภาพการทำงานของ วช. ถือเป็นปัญหาเรื้อรังที่ได้มีการร้องเรียนไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปลายปี 2548 ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งเมื่อขึ้นปีงบประมาณ 2549 ก็เกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก ทั้งเรื่องความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณที่มีอยู่แต่เดิม และการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการพิจารณาโครงการวิจัยชุดใหม่ โดยที่ฝ่ายนักวิจัยกลับไม่มีส่วนรับรู้ด้วยเลย คำถามที่เกิดขึ้น คือ นักวิจัยไม่ทราบว่ามีเหตุผลใดจึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนคณะกรรมการชุดเก่า ทาง วช. ได้ใช้หลักเกณฑ์อะไรมาพิจารณาเลือกคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา และใครเป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินการนี้ โดยเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่เข้าทำงานก็ทำให้ต้องมีการพิจารณาโครงการทั้งหมดซ้ำอีกรอบ ทำให้ต้องใช้เวลามาก อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพทำให้การพิจารณาโครงการต่างๆ ล่าช้าไปมาก จริงๆ แล้วควรใช้เวลาพิจารณาโครงการต่างๆ เพียงนิดเดียวเท่านั้น เพราะต่างก็เป็นโครงการต่อเนื่องที่มีการติดตามผลกันทุกๆ ไตรมาสอยู่แล้ว (ผู้จัดการ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





สวทช.โชว์'ชีวภาพ'พืชสวนโลก

มหกรรมพืชสวนโลก ราชพฤกษ์ 2549 ที่เชียงใหม่นอกจากเป็นงานแสดงพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ จากหลายประเทศทั่วโลกแล้ว ยังมีพืชเศรษฐกิจที่เป็นผลจากการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์โดยหน่วยงานศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มาร่วมแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพด้วย ผลงานส่วนใหญ่ที่นำมาแสดงเน้นด้านการเกษตรและการสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นแกนนำหลัก เพื่อให้ผู้ชมและประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเห็นและเข้าถึงมุมมองด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การประกอบอาชีพและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบัน สวทช.มีโครงการวิจัยที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นประโยชน์ต่อการดำรงวิชาชีพหลายอย่างด้วยกัน ทั้งการนำเสนอเรื่องห้องปฏิบัติการกลางนา การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเกษตรกรรมและเศรษฐกิจ เช่น ข้าวพันธุ์ทนน้ำท่วมสำหรับนาในที่ลุ่ม การปรับปรุงเทคโนโลยีการปลูกข้าวไร่เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตสำหรับนาขั้นบันได เทคโนโลยีการปลูกและเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวสาลี ซึ่งปัจจุบันได้ทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรที่ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ไปแล้วส่วนหนึ่ง (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





สจล.พัฒนาเครื่องชิมรสชาติผลไม้

นายจิรัฏฐ์ เหมือนชู และทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการวิจัยสื่อสารไร้สาย ภาควิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้พัฒนาต้นแบบเครื่องตรวจรสชาติผลไม้แบบพกพา โดยส่งคลื่นไมโครเวฟเข้าไปในผลไม้ เพื่อวัดขนาดกำลังของคลื่นที่สะท้อนกลับ ซึ่งมีระดับแตกต่างกัน จึงบ่งบอกถึงรสชาติของส้มแต่ละลูก และได้ทดลองกับส้ม 10 กิโลกรัม หรือประมาณ 100 ลูกเพื่อเก็บข้อมูล และระดับสัญญาณที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคนิคที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เนื่องจากสารทุกประเภทมีค่าความเป็นฉนวนคงที่ แต่มีสนามไฟฟ้าแตกต่างกัน จึงสามารถใช้คลื่นไมโครเวฟตรวจวัดคุณภาพผลไม้ได้ เบื้องต้นทีมงานทดลองใช้กับส้มเป็นชนิดแรก สำหรับวิธีการตรวจสอบคุณภาพของผลไม้เพื่อส่งออกที่ใช้ในปัจจุบัน นอกจากจะดูรูปลักษณะภายนอกของพื้นผิวแล้ว รสชาติยังเป็นส่วนสำคัญที่ผู้ส่งออกต้องคำนึงถึง ซึ่งทั่วไปจะใช้วิธีการตรวจสอบโดยการแกะเนื้อ เพื่อนำน้ำของผลไม้ที่อยู่ภายใน ไปทดสอบด้วยวิธีการทางเคมี เพื่อวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ทำให้ผลไม้ส่วนหนึ่งถูกทำลาย และมีต้นทุนด้านห้องปฏิบัติด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





เครื่องเคลือบเมล็ดพันธุ์ราคาถูก

รศ.ดร.บุญมี ศิริ ภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้คิดค้นเครื่องเคลือบเมล็ดพันธุ์แบบถังหมุน กล่าวว่า เมล็ดพันธุ์พืชที่เกษตรกรใช้เพาะปลูก ประสบปัญหาการงอกไม่สม่ำเสมอและให้ผลผลิตไม่เต็มที่ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ไม่สมบูรณ์ เกิดการแห้งเหี่ยวหรือมีความชื้นซึมผ่านเข้าเมล็ด ทำให้เกิดเชื้อรา เมื่อนำไปเพาะปลูกจึงไม่งอก ด้วยเหตุนี้ จึงคิดค้นเครื่องเคลือบเมล็ดพันธุ์ขึ้น เพื่อให้สารเคลือบแบบฟิล์มบางติดกับเมล็ดพันธุ์อย่างสม่ำเสมอ โดยออกแบบให้เครื่องสามารถควบคุมระยะเวลาการฉีดพ่นสารเคลือบ และปรับเปลี่ยนอุณหภูมิที่ใช้เคลือบให้เหมาะสมกับเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิด อีกทั้งเครื่องสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง และมีระบบขจัดสารที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ไอเสทพัฒนาโซลาร์เซลล์ลูกผสมต้นทุนต่ำ

นายปกรณ์ สุพานิช นักวิจัยจากสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ (ไอเสท) เปิดเผยว่า ไอเสท กำลังดำเนินการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยผสมผสานเทคโนโลยีอะมอร์ฟัสซิลิคอนที่ใช้ผลิตโซลาร์เซลล์ทั่วไปกับผลึกซิลิคอนแบบฟิล์มบางเข้าด้วยกัน ขณะที่เลือกใช้แผ่นเหล็กไร้สนิมเป็นแผ่นฐานซึ่งมีประสิทธิภาพสูง และให้อุณหภูมิสูงคงที่เหมาะสมใช้งานกับสภาพอากาศในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ ทีมวิจัยไอเสท ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิคอนที่มีประสิทธิภาพในการนำความร้อนจากแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้า 7 เปอร์เซ็นต์ ตามมาตรฐานโลก และได้ส่งต่อเทคโนโลยีดังกล่าวให้กับบริษัท บางกอกโซลาร์ จำกัด นำไปผลิตในเชิงอุตสาหรรมแล้ว "ภายใน 5 ปี ไอเสทจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ในประเทศให้มีราคาถูกลงโดยชิ้นส่วนอุปกรณ์ทั้งระบบสามารถผลิตได้ภายในประเทศ" ดร.พอพนธ์ สิชฌนุกฤษฏ์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเสทตั้งเป้า ปัจจุบัน โครงการสร้างโรงไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ได้รับการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติในหลายประเทศ เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลออสเตรเลียประกาศแผนสนับสนุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 375 ล้านดอลลาร์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ถึงแม้พลังงานโซลาร์เซลล์จะเป็นความหวังที่จะนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าแทนน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน แต่โซลาร์เซลล์ยังไม่สามารถนำพลังงานความร้อนมาแปลงเป็นไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ (กรุงเทพธุรกิจ พฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.bangkokbiznews.com)





ท่านั่งตัวตรงกลายเป็นท่านั่งผิดท่า ต้องนั่งให้หลังเอนออกไปเล็กน้อย

นักวิจัยแคนาดาและสกอตร่วมกันศึกษาวิจัยพบว่า ท่านั่งตัวตรงไม่ใช่เป็นท่านั่งที่ดีที่สุด คณะนัวิจัยได้ใช้วิธีการตรวจทางรังสีวิทยาคลื่นสนามแม่เหล็กวิธีใหม่ ตรวจแสดงให้เห็นท่านั่งที่ทำให้หลังไหล่ตึงเครียดโดยไม่จำเป็น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ท่านั่งมีส่วนทำให้เกิดปวดหลังท่อนล่างขึ้นได้ และข้อมูลของแพทยสมาคมการจัดกระดูกสันหลังของอังกฤษ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ประมาณ 32% ใช้เวลานั่งวันหนึ่งๆ นานเกินกว่า 10 ชม. และได้รายงานต่อที่ประชุมสมาคมแพทย์รังสีวิทยาแห่งอเมริกาว่า ท่านั่งที่ดีที่สุด คือท่านั่งเอนเล็กน้อย ทำมุมประมาณ 135 องศา เพราะเป็นท่าที่ทำให้หมอนรองกระดูกถูกกดน้อยที่สุด และกล้ามเนื้อกับเอ็นก็อยู่ในท่าตามสบายมากกว่าด้วย ในขณะที่ท่านั่งตรง 90 องศา อาจกดทับหมอนรองกระดูกให้เคลื่อนได้อย่างเห็นได้ชัดที่สุด. (ไทยรัฐ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.thairath.co.th)





หุ่นยนต์ไกด์-รปภ

บริษัทบริการด้านความปลอดภัยของญี่ปุ่น (Sogo Securities Service) สาธิตการทำงานของหุ่นยนต์ “Guard robo D1” ซึ่งสามารถเดินตรวจตรา ความเรียบร้อยภายในอาคาร หรือ ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งเป็นไกด์บอกทางให้กับผู้ที่มา ได้ ผ่านจอแอลซีดีที่ติดตั้งอยู่บริเวณ หน้าอกของหุ่นยนต์ ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทรักษาความปลอดภัยเตรียมเปิดให้บริการหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นระบบใหม่ของบริษัทซึ่งควบคุมการทำงาน ของหุ่นยนต์จากระยะไกลผ่าน “Reborg-Q” ในราคา 380,000 เยน/เดือน หรือประมาณ 128,000 บาท/เดือน. (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)





ทหารมะกันซุ่มฝึกผึ้งน้อยเป็นกองกำลังตรวจระเบิด

นักวิจัยของอินเซนทิเนลของอังกฤษ ที่มีพนักงานเพียง 3 คน ได้พัฒนาอุปกรณ์ "กล่องตรวจกลิ่น" ขึ้นมา "เทคนิคใหม่นี้อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการใช้อุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่อง (improvised explosive devices หรือ IED) ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อกองกำลังอเมริกันนอกสหรัฐฯ รวมถึงพลเรือนทั่วโลก" ศูนย์วิจัยแห่งชาติลอสอลามอสในนิวเม็กซิโก (Los Alamos National Laboratory) สหรัฐฯ แถลงผ่านระบบออนไลน์เมื่อวันที่ 27 พ.ย.นี้ นักวิจัยอัศจรรย์กับความสามารถอันเป็นเลิศในการดมกลิ่นของผึ้งมานานแล้ว แต่ความพยายามก่อนหน้านี้ในการใช้ประโยชน์และทำความเข้าใจความสามารถนี้ยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





เอไอทีโชว์ต้นแบบสู่ "รถอัจฉริยะไร้คนขับ"

สถาบันเทคโนโลยีเอเชีย (เอไอที) สาธิตการทำงานของรถอัจฉริยะไร้คนขับต้นแบบ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนไปตามเส้นทางได้เองโดยไม่ต้องอาศัยคนบังคับ ทั้งนี้ รศ.ดร.มนูกิจ พานิชกุล อาจารย์ภาควิชาเมคาโทรนิคส์ คณะวิศวกรรมอุตสาหการ เอไอที อธิบายการทำงานของรถคันดังกล่าวว่า กล้องที่ติดอยู่หน้าตัวรถนั้นจะรับภาพแล้วส่งไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ติดตั้งภายในรถ เพื่อตัดสินใจในการเลี้ยวซ้าย-ขวา หรือหยุดรถตามสภาพของถนน และรถอัจฉริยะต้นแบบของเอไอทีนี้ เป็นโครงการของภาควิชาเมคาโทรนิคส์ที่ใช้เวลาพัฒนา 2 เดือนโดยการสนับสนุนของ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) อย่างไรก็ตามรถต้นแบบดังกล่าวยังประสบปัญหาในเรื่องความไม่เสถียรเมื่อขับเคลื่อนในสถานที่มีความเข้มแสงไม่คงที่ และต้องอาศัยคนเข้าไปปรับค่าคงที่เพื่อให้รถขับเคลื่อนไปได้ ซึ่ง รศ.ดร.มนูกิจกล่าวว่าเป็นจุดที่ยังต้องพัฒนาต่อไป ส่วนความเร็วของรถอยู่ที่ 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งยังห่างไกลที่จะนำไปใช้ในการวิ่งตามท้องถนนจริงๆ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้มีความเร็วขั้นต่ำ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากยังกล่าวอีกว่าศาสตร์ในการออกแบบรถยนต์อัจฉริยะไร้คนขับนี้ยังเป็นศาสตร์เดียวกับที่ใช้ในการพัฒนาหุ่นยนต์ในโรงงาน เครื่องจักรกลต่างๆ รวมถึงสายพานในการผลิตของภาคอุตสาหกรรม (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





บีโอไอชี้เศรษฐกิจไทยรุ่ง ไบโอเทคหวังภาคเอกชนทำ R&D ปีละ 5 พันล้าน

ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดการสัมมนา “รัฐบาลกับการส่งเสริมและการสนับสนุนการลงทุนวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพ” ขึ้น พร้อมๆ กับเปิดตัวคู่มือการลงทุนธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ “Thailand Biotech Guide” ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ปาร์ค กรุงเทพฯ โดยมีนักวิจัยและผู้ประกอบการมาร่วมงานกว่า 200 คน รมว.วิทย์ เชื่อไทยเป็นแถวหน้าไบโอเทคอาเซียนได้ ฝัน R&D 5 พันล้านต่อปี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าวเปิดการสัมมนาว่า ขณะนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมกับกระทรวงสายเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความรู้อย่างกระทรวงศึกษาธิการ ในการส่งเสริมภาคการผลิตของประเทศให้ได้นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มศักยภาพการผลิตมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากการผลิตแบบเก่าที่ใช้ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานราคาถูกเข้าแลก มาเป็นการลงทุนที่ใช้ปัญญาเข้าช่วย รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ชี้แจงด้วยว่า ในส่วนนี้ ภาคธุรกิจจะได้รับความช่วยเหลือด้านวิทยาการจากหน่วยงานวิจัยภายในประเทศอย่าง สวทช. และการสนับสนุนด้านการลงทุนจากบีโอไอ โดยในธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพนั้น ต่างชาติต่างให้ความสนใจกับเทคโนโลยีด้านนี้ของประเทศไทยมาก และประเทศไทยก็มีศักยภาพในส่วนนี้มากพอ สามารถนำไปสู่การเป็นผู้นำหรือผู้ให้บริการทางไบโอเทคในภูมิภาคอาเซียนหรือแม้แต่เอเซียนได้ แต่สิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนามาก คือ การผลิตบุคลากรด้านไบโอเทคที่ต้องมีมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการแข่งขันของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มุ่งมั่นต่อการพัฒนาด้านไบโอเทคมากกว่าประเทศไทย (ผู้จัดการ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.manager.co.th)





ข่าวทั่วไป


เจ้าชายจิกมีรับปริญญาม.รังสิต แนะเยาวชนยึดในหลวงเป็นแบบ

วันที่ 26 พฤศจิกายน มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จพระราชดำเนินไปยังมหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อรับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ณ อาคารนันทนาการ ซึ่งเป็นพิธีประสาทปริญญาบัตรนั้น มีขบวนนำเสด็จเริ่มจากนักศึกษาถือธงชาติราชอาณาจักรภูฏานและธงชาติไทย เพื่อนำเสด็จมกุฎราชกุมารสู่ที่ประทับ จากนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กราบบังคมทูลถวายคำประกาศเกียรติคุณ มกุฎราชกุมารจิกมี พล.อ.ต.กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่มกุฎราชกุมารท่ามกลางเสียงปรบมืออันกึกก้องจากบัณฑิตและคณาจารย์สร้างความปลาบปลื้มใจกับผู้ที่อยู่ในหอประชุมเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นมีการบรรเลงเพลง พรีซิอัซ ปริ๊นซ์ ออฟ ฮาร์ท (Precious Prince Of Heaths) หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าเจ้าชายแก้วในดวงหฤทัย ซึ่งมกุฎราชกุมารจิกมี ทรงตั้งพระทัยฟังเพลงดังกล่าวอย่างยิ่ง เมื่อการบรรเลงเพลงจบลง พระองค์ทรงก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อยแสดงถึงการขอบพระทัย ต่อมาเวลา 14.20 น. มกุฎราชกุมารจิกมี มีพระราชดำรัสแก่บัณทิตที่เข้ารับปริญญาบัตรในครั้งประมาณ 15 นาที ความว่า "ขอบคุณทุกคนมากที่ใจดีกับข้าพเจ้า เริ่มแรกข้าพเจ้าแทบไม่อยากรับใบปริญญาใบนี้เพราะไม่คาดคิดมาก่อน ว่าข้าพเจ้าสมควรจะได้รับใบปริญญาบัตรนี้ แต่พอได้มาเห็นบรรยากาศการตอบรับของทุกคน ก็เริ่มมีความหวังว่าข้าพเจ้าสมควรได้รับปริญญาบัตร โดยการเป็นคนดีเพื่อให้สมกับใบปริญญาบัตรใบนี้ "ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมาก ที่ได้มีโอกาสมาขอบคุณคนไทย เมื่อข้าพเจ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ข้าพเจ้าจะพยายามสังเกตประเทศนั้นๆ ว่าประเทศของเขาประสบความสำเร็จอย่างไร มีความยากลำบากอย่างไร ทำไม หลังจากที่ได้สังเกตจะรู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของประชาชน ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เลยต้องเรียนรู้ จากประสบการณ์ของผู้อื่น ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อที่จะเรียนรู้จากตรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชน" พร้อมระบุว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาประเทศไทย ข้าพเจ้าได้เคยเดินทางมาประเทศไทยหลายปีแล้ว ยิ่งข้าพเจ้าได้พบกับประชาชนชาวไทยมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกในแง่ดีมากขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าคนไทยรักประเทศชาติ มีความสามัคคี มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หายากในโลกปัจจุบัน ขอเน้นย้ำเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องที่ทำให้ประเทศพัฒนาอย่างยิ่งใหญ่ เจริญก้าวหน้าเพราะข้าพเจ้าจะให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนในประเทศเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีพื้นฐานอะไรที่จะสำคัญไปกว่าการได้รับการศึกษา เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศอีกแล้ว ข้าพเจ้าขอพูดเกี่ยวกับเยาวชน เยาวชนเป็นอนาคตของมนุษยชาติ พวกเราชอบพูดเกี่ยวกับอนาคต พวกเรารู้ว่าเยาวชนคืออนาคตมนุษยชาติ คืออนาคตปัจจุบันของมนุษย์ เยาวชนไม่มีสัญชาติใดก็ตามอาจจะมีความปรารถนาแตกต่างกัน การแต่งตัวแตกต่างกัน แต่ข้าพเจ้าพบว่าพวกเขามีความปรารถนาอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือการอยากให้ประเทศชาติของเขาประสบความสำเร็จและต้องการเห็นอนาคตที่สดใส สำหรับลูกหลานของพวกเขา เด็กๆ ทุกคนมีสิทธิได้เรียนรู้ความจริง เพื่อสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด มีสิทธิใช้ทรัพยากรต่างๆ ของประเทศ ที่บรรพบุรุษของเราได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นประโยชน์ สิ่งสำคัญเราต้องรักประเทศชาติ ซึ่งต้องรักอย่างชาญฉลาด สำหรับปีนี้เป็นปีมงคลของคนไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นปีที่พิเศษสำหรับข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้ารัก เคารพ และชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก พระองค์ท่านทรงเป็นสุดยอดพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้ามีความศรัทธาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างลึกซึ้งในหลายๆ เรื่อง ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม ทุกครั้งที่ได้มาประเทศไทย ข้าพเจ้าจะไม่ลืมประสบการณ์ในครั้งนี้ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้านึกถึงจะมีความสุขและจะชื่นชมกับความทรงจำนี้ไปตลอดชีวิต เนื่องในโอกาสรับปริญญาบัตรครั้งนี้ จะต้องเป็นเยาวชนที่จะต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างๆ ซึ่งตัวอย่างที่จะเรียนรู้นั้น หาได้ไม่ยากเลย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้า พระองค์ทรงงานอย่างหนัก พระทัยดี ทรงมีความยุติธรรม ทรงเป็นบุคคลที่มีความพยายาม มุ่งมั่น ทำเพื่อประเทศชาติ ข้าพเจ้าอยากจะให้เยาวชนไทยและคนไทย ยึดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแรงบันดาลใจในการปฏิบัติตน เพื่อดำรงชีวิตตามที่พระองค์ปฏิบัติ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากเยาวชนไทย ทำได้ดังนั้น ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จและมีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งสิ่งนี้เป็นหน้าที่ที่เยาวชนต้องระลึกเอาไว้ในใจเสมอว่า ตัวเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น มีประชาชนไม่มากนักที่ได้มีโอกาสเท่ากับคนไทย เพราะฉะนั้นตรงนี้คือสิ่งสำคัญ การยึดแนวทางเน้นความสุขของมวลประชาชนเป็นหลัก ในการดำเนินการปกครองประเทศของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการพยายามเข้าไปในจิตใต้สำนึกของประชาชน ทั้งประชาชนทั่วไป ชาวนา นักธุรกิจ จะต้องยึดหลักนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ ประเทศอื่นพยายามแสวงหาความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศภูฏานเป็นประเทศที่แสวงหาความสุข ในจิตใต้สำนึกของโลกในยุคปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่สร้างมาจากความยากลำบากของบรรพบุรุษหลายๆ รุ่น ที่ต่างเสียสละไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้ว ที่บัณฑิตใหม่ต้องทำเหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นมา และขอถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอทรงพระเจริญ" (คมชัดลึก จันทร์ที่ 27 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





'รามา' ผ่าตัดกระเพาะรักษาโรคอ้วน สำหรับผู้ไม่ สามารถลดน้ำหนักลงได้

ผศ.นพ.ธีรพล อังกูลภักดีกุล ศัลยแพทย์ ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แพทย์ผ่าตัดรักษาโรคอ้วนเมื่อ 60-70 ปีที่ผ่านมา โดยวิธีผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง พบว่าผู้ป่วยต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลนาน มีความเสี่ยงติดเชื้อแทรกซ้อน กรณีอ้วนมากๆต้องพักฟื้นเป็นเดือนๆ แต่ปัจจุบันได้ พัฒนาการผ่าตัดผ่านกล้อง บาดแผลผ่าตัดเล็ก พักฟื้นที่โรงพยาบาล 2-3 วัน ก็กลับบ้านได้ ผู้ป่วยมีบาดแผลที่ท้องขนาดเล็ก การรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัด เป็นที่นิยมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลรามาธิบดี ผ่าตัดรักษาโรคอ้วนเป็นแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อปี 2544 จนถึงปัจจุบันผ่าตัดคนไข้กว่า 40 คน ซึ่งถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องพิจารณาคนไข้ที่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน ไม่ใช่การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักเสริมความงาม แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก รักษาอาการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากความอ้วน โดยแพทย์จะผ่าตัดกระเพาะอาหารในรายที่ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 40 โดยคำนวณจากน้ำหนักเป็นกิโลกรัมตั้งหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง หรืออ้วนมากกว่า 5 ปี หากค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 35 แต่ไม่ถึง 40 ต้องมีโรคแทรกซ้อนอันเนื่องจากความอ้วน เช่น เข่าเสื่อม ไขมันในเลือดสูง ไม่สามารถควบคุมโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ซึ่งการลดน้ำหนักจะเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคดังกล่าว. (ไทยรัฐ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.thairath.co.th)





“นวัตกรรม” ในห้องเรียนการเกษตร “ราชพฤกษ์ 2549”

มหกรรมระดับชาติที่เป็นที่สนใจกันมากที่สุดในช่วงนี้คงหนีไม่พ้น “งานมหกรรมพืชสวนโลก เฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549” ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยงบประมาณการจัดงานราว 5,000 ล้านบาท ซึ่งคาดกันว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้แพร่สะพัดอีกมหาศาล โดยได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกันมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากพันธุ์ไม้หลากหลายจากทั่วโลกที่เรียงรายบนพื้นที่กว่า 400 ไร่แล้ว พรมแดนแห่งการเรียนรู้ก็ไม่ได้ถูกกีดกันหรือถูกทำให้เจือจางลงเลย โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างกลมกลืนด้วย “วิทยาศาสตร์” นานาสารพันวิทย์ “จากไร่สู่ราชพฤกษ์” บนพื้นที่การจัดงาน 2,500 ตร.ม.ในบริเวณที่เข้าถึงได้ง่ายจากหน้างาน “ห้องนิทรรศการหมุนเวียน อาคาร 2” ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ หลบร้อนจากไอแดดจัดจ้าในช่วงสายและช่วงบ่ายได้ดียิ่ง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้ยกความรู้แบบวิทย์ๆ มาจัดแสดงให้ชมกันอย่างเต็มอิ่ม นิทรรศการชุดนี้ สอดผสานกลมกลืนไปกับการจัดการป่าต้นน้ำ การพัฒนาพันธุ์พืชสำคัญ เรื่อยไปจนถึงเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยว และการใช้ประโยชน์จากพืชผลการเกษตรใน “ประเทศไทย” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ครัวของโลก” ได้อย่างไม่อายใคร พูดง่ายๆ ก็คือตั้งแต่เทคโนโลยีการเกษตรจากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ หรือ “จากไร่สู่ห้าง” นั่นเอง “วิทยาศาสตร์เพื่อธรรมชาติ” เป็นสโลแกนหลักของหน่วยงานประกอบกับการแสดงผลงานจำนวน 16 บูธ โดยหน่วยงานภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่ดูจะมีชิ้นงานมามากหน่อยคงหนีไม่พ้น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ “สวทช.” ที่ยกผลงานของหน่วยงานลูกทั้ง 4 ศูนย์ คือ ไบโอเทค เนคเทค นาโนเทค และเอ็มเทค ตลอดจนถึงสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร หรือ สสนก. มาจัดแสดงจนแน่นพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีผลงานที่พร้อมใช้งานจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ และการจัดแสดงเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ.ที่เผยให้เห็นถึงพื้นที่การเกษตรของไทยด้วยมุมมองจากภาพถ่ายนอกโลก ก่อนที่เข้าชมนิทรรศการวิทย์ๆ ในพืชสวนโลกแบบเต็มอิ่มก็ควรที่จะชมจากทางเข้าหลักเป็นที่แรก และเดินตามลำดับที่ระบุไว้ในแผนที่การจัดแสดงผลงาน “จากต้นห้องถึงก้นห้อง” ซึ่งจะเล่าเรื่องราวทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ต้นน้ำ ไล่ไปจนถึงจุดสิ้นสุดของพื้นที่การจัดงาน ที่จะพูดถึงเทคโนโลยีการแปรรูปผลผลิตพร้อมใช้งานได้อย่างไหลลื่น ทำความเข้าใจง่าย และช่วยให้ประหยัดเวลาชมงานได้มากที่สุด (ผู้จัดการ อังคารที่ 28 พ.ย. 2549 http://www.manager.co.th)





ครม.ยกเลิกมาตรการปิดปั๊ม 4 ทุ่ม

ครม.ยกเลิกมาตรการปิดปั๊ม 4 ทุ่ม 1 ธันวาคมนี้ ให้เปิดขายได้ 24 ชั่วโมง เหตุที่ผ่านมากระทบคนเดินทางกลางคืน ด้านผู้ประกอบการต่างจังหวัดเมิน ระบุคนเปลี่ยนพฤติกรรมมาเติมน้ำมันกลางวันแล้ว หากเปิดทั้งคืนต้องจ้างพนักงานเพิ่ม ต้นทุนสูงขึ้นและเสี่ยงถูกจี้ปล้น ครม.มีมติยกเลิกมาตรการปิดปั๊มน้ำมันเวลา 22.00 น.แล้ว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ร.อ.น.พ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงานในการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 ในการกำหนดห้ามจำหน่ายน้ำมันทุกประเภทตั้งแต่เวลา 22.00-05.00 น. ทำให้สถานีบริการน้ำมันสามารถเปิดบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้ เนื่องจากกระทรวงพลังงานเห็นว่ามาตรการประหยัดพลังงานในด้านต่างๆ ที่ดำเนินการมานั้น ช่วยผลักดันให้ประชาชนลดใช้น้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนการปิดปั๊มหลังเวลา 22.00 น. ส่งผลกระทบต่อคนทำงานกลางคืน หรือผู้เดินทางกลับต่างจังหวัด ทำให้ไม่สะดวกในการเติมน้ำมันช่วงเวลาที่กำหนด ส่วนมาตรการประหยัดนั้น รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญในการรณรงค์ประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้ประชาชนลดการใช้พลังงาน (คมชัดลึก พุธที่ 29 พ.ย. 2549 http://www.komchadluek.net)





‘ไขศรี’ดันสำนักหอสมุดฯเป็นองค์การมหาชน

คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักหอสมุดแห่งชาติขาดแคลนงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือ และขาดแคลนบุคลากรเป็นจำนวนมาก ดังนั้นกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จึงมีแนวคิดที่จะยกฐานะสำนักหอสมุดแห่งชาติ จากหน่วยรายการในสังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นองค์การมหาชน เพื่อให้การบริหารจัดการมีความคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในเรื่องงบประมาณและบุคลากร อย่างไรก็ตามการยกฐานะสำนักหอสมุดแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนนั้น อาจจะมีปัญหากับบุคลากรภายในสำนักหอสมุดแห่งชาติ ที่เป็นข้าราชการมาก่อน เพราะเมื่อมีการปรับเป็นองค์การมหาชนแล้ว ก็จะต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบสวัสดิการที่แตกต่างจากระบบราชการ แต่จะได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่า อาทิ เงินเดือน และค่าล่วงเวลา เป็นต้น นอกจากนี้บุคลากรทุกคนต้องถูกประเมินผลงานทุกปี และจะส่งผลต่อการปรับขึ้นเงินเดือน ซึ่งจะทำให้การทำงานของบุคลากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น “ทั้งนี้ วธ. คงต้องขอศึกษาโครงสร้างและกฎหมายของสำนักหอสมุดแห่งชาติ ก่อนว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะยกฐานะสำนักหอสมุดแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน และหากเป็นไปได้ ขั้นตอนต่อไปก็จะต้องมีการสอบถามความสมัครใจของบุคลากรที่เป็นข้าราชการก่อนว่าจะ ยอมรับการโอนมาเป็นพนักงานองค์การมหาชนหรือไม่ โดยการบริหารจัดการบุคลากรนั้น อาจจะต้องทำใน 2 ระบบ คือ ผู้ที่ต้องการเป็นข้าราชการ ก็ให้เป็นข้าราชการและทำงานต่อไปได้ แต่หากต้องการเปลี่ยนมาเป็นพนักงานก็ต้องเข้ารับการประเมิน ซึ่งอาจจะให้ได้รับเงินเดือนมากกว่าการเป็นข้าราชการก็ได้ แต่ในส่วนของพนักงานที่จะรับเข้ามาใหม่ก็จะต้องเป็นพนักงานขององค์การมหาชน ภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นอิสระ ทั้งนี้ข้อดีขององค์การมหาชน คือ ประเมินผลงานของพนักงานแล้ว สามารถขึ้นเงินเดือนให้ได้มากกว่าข้าราชการ ที่จะต้องเป็นไปตามลำดับขั้น” (เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2549 http://www.dailynews.co.th)






KMUTT Digital Library
Contact Digital Library : info@lib.kmutt.ac.th
Tel : 0-2470-8215